5 ขั่นในการเป็นนักเทรด

  • on Thursday, April 30, 2015
  • ขั้นเเรก - ไร้สติเเละไร้คุณสมบัติ
    นี้ เป็นขั้นเเรกของนักเทรดทุกคนเมื่อคิดที่จะเริ่มเทรด ท่านรู้ว่าการเทรดเป็นการหาเงินที่ดีเพราะท่านได้ยินใครๆก็พูดถึงเรื่องของ นักเทรดที่เป็น millionaire เหมือนกับคุณเริ่มคิดที่จะขับรถทุก อย่างดูเหมือนง่ายมันไม่น่าจะยากอะไรขนาดนั้น เหมือนกับการเทรดราคามีเเค่ขึ้นกับลง มันจะมีความลับอะไรกันมากมาย ท่านเลยคิดว่าเทรดเลยดีกว่าไม่น่าจะยาก เเต่เช่นเดียวกับการขับรถเมื่อท่านจับพวงมาลัยครั้งเเรก ท่านถึงได้รู้ว่าท่านไม่รู้อะไรเลย ท่านเปิดออเดอร์มากมาย เเละรับความเสี่ยงสูง พอท่านเปิดซื้อกราฟก็ตกพอท่านสั่งขายกราฟก็ขึ้นเป็นอยู่อย่างนี้ บางทีท่านอาจจะประสบความสำเร็จ นั้นเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เพราะในสมองของท่านจะคิดว่าการเทรดเป็นเรื่องง่าย เเล้วท่านก็จะเพิ่มความเสี่ยงขึ้น เเละลงเงินมากขึ้นไปอีก ท่านพยายามที่จะเปลี่ยนการจากออเดร์ที่เสียด้วยการดับเบิ้ลเงินลงไปทุกครั้ง ในการเทรด บางครั้งท่านก็รอดมาได้เเต่ไม่บ่อยครั้งที่จะผ่านมาเเบบไม่เสีย ท่านยังไม่คิดว่าท่านไม่มีความสามารถในการเทรด ขั้นตอนนี้กินเวลาอาทิตย์ถึงสองอาทิตย์ ก่อนที่ท่านจะย้ายไปอีกขั้นนึง

    ขั้นสอง - มีสติเเต่ขาดคุณสมบัติ
    ขั้น ตอนสองคือท่านทราบการเทรดนั้นต้องมีการวางเเผน เเละลงมือลงเเรง จิตใต้สำนึกท่านทราบว่าท่านเป็นนักเทรดที่ขาดคุณสมบัติท่านไม่มีทักษะหรือ ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในการทำกำไรในตลาดเงิน ท่านเริ่มที่จะหาซื้อระบบการเทรดและ e-book ท่านหาหนังสืออ่านตามเว็บไซต์ทุกที่จากสหรัฐอเมริกาถึงยูเครน ช่วงนี้ท่านเริ่มต้นค้นหาอินดี้หรือระบบศักดิ์สิทธิ์ ขณะนี้ท่านจะย้ายจากระบบไประบบนึง อินดี้นึงไปอินดี้นึง ท่านจะเปลี่ยนจากวิธีนี้วันวิธีนู้นอีกวัน และสัปดาห์โดยสัปดาห์ไม่ใช่มันนานพอที่จะดูว่ามันใช่ได้หรือไม่ เวลาที่ท่านเจออินดี้ตัวใหม่ คุณจะมีความตื้นเต้น เเละคิดว่าอินดี้นี้ ละสุดยอดเเล้ว ท่านจะทดสอบระบบ อัตโนมัติใน Metatrader ท่านจะเล่นกับmoving average, Fibonacci, support และ resistant, Pivots, Fractals, DMI, ADX และอื่นๆ อีกร้อยเเปดในความหวังว่ามันจะเป็นระบบมหัศจรรย์ของท่าน ท่านจะเป็นคนเลือกบนเเละล่างพยายามหาจุดกลับตัวของกราฟและท่านจะพบตัวว่าเอง ไล่กวดเทรดที่เสีย และยังเพิ่มเงินลงไปเพราะคุณมั่นใจว่าท่านถูก ท่านจะไปอยู่ในเเชทลูมและเห็นว่าคนอื่นๆทำกำไรเเต่ทำไมไม่ใช่ท่านท่านมี ปัญหาที่ต้องการคำตอบล้านเเปด บางคำถามเมื่อตัวท่านเองย้อนกลับไปดูตัวท่านเองยังรู้สึกว่าเป็นคำถามที่งี่ เง่า แล้วท่านจะถึงจุดที่ท่านคิดว่าคนที่ออกมาบอกว่าได้กำไรทั้งหมดโกหก พวกเขาไม่น่าจะทำไรได้เพราะท่านก็ได้ศึกษาการเทรดมาเเต่ได้เเต่ขาดทุน ท่านก็รู้เท่าเท่ากับที่พวกเขารู้พวกเขาต้องโกหกเเน่เเน่. เเต่ พวกเขาอยู่ในตลาดเทรดทุกวัน และบัญชีของพวกเขาเพิ่มมากขึ้นในขณะที่ของท่านลดลงเรื่อยๆ ท่านจะกลับไปเป็นเเบบวัยรุ่นอีกครั้งนึง – นักเทรดที่มีประสบการเเละสำเร็จให้คำอธิบายบอกเหตูผลบอกวิธีเเบบฟรีๆเเต่ท ่านก็ยังดื้อรั้นคิดว่าตัวเองถูกเเละท่านรู้ดีที่สุด ท่านก็ยังดั้นด้นเทรนทั้งที่ทุกคนรอบรอบข้างบอกว่าคุณบ้าไปเเล้วเเต่ท่านคิด ว่าท่านรู้ดีกว่า เมื่อท่านจะคิดได้เเล้วจะพยายามเทรดตามคนอื่นเเต่ก็ไม่สำเร็จ.ท่านพยายาม จ่ายค่าสัญญาณจากคนอื่น.ท่านก็จะจ่ายเงินให้กูรูคอยบอกเเละสอนไม่ว่ากูรูจะ ดีหรือไม่ดียังไงท่านก็ยังไม่สำเร็จเพราะท่านยังคิดว่าท่านรู้ดีที่สุด

    ขั้น นี้อาจจะนานตราบเท่านาน - ในความเป็นจริงเเห่งโลกของความเป็นจริง เเละหลังจากที่พูดคุยกับนักเทรดคนอื่นๆ เเละจากประสบการขั้นนี้อาจจะนานเป็นปีถึงสามปี นี้เป็นขั้นที่นักเทรดถอนตัวถอดใจในการเทรด ประมาณ 60% ของนักเทรดใหม่ถอดใจใน 3 เดือนเเรก – พวกเขาถอดใจเป็นสิ่งที่ดี - ลองคิดดู - ถ้าการเทรดเป้นเรื่องง่ายทุกคนก็รวยกันหมดเเล้วอีก 20% ให้เวลาอีกหนึ่งปีแล้วความหมดหวังในการเสี่ยงจะทำให้บัญชีพวกเขาหมดไปอย่าง เเน่นอน

    สิ่งที่ท่านอาจจะแปลกใจก็คือที่เหลืออีก 20% พวกเขาผ่านได้ประมาณ 3 ปี และเขาก็จะคิดว่าพวกเขาจะปลอดภัยแต่แม้จะผ่าน 3 ปีเเต่เเค่อีกเพียง 5-10% จะทำกำไรได้สมำเสมอ ตัวเลขอันนี้ไม่ได้เกิดมาได้จากอากาศไม่ได้โมเมขึ้นมา หลังจากที่คุณผ่านสามปีได้อย่าพึ่งวางใจ.มีคนเคยเถียงเรื่องเวลาหลายคนทุก ทุกคนไม่เคยรอดเกินสามปี.ถ้าท่านคิดว่าท่านรู้ดีลองถามตามบอดร์ดูว่าใครเทรด มาห้าปีเเล้วสามารถที่จะเทรดเต็มความสามารถ 100% บางทีอาจจะมีบางคนเป็นข้อยกเว้น เเต่ที่ผ่านมาไม่เคยเจอเองสักคน ท่านจะค่อยๆ ออกมาจากขั้นนี้ ท่านลงทุนลงเเรงกับมันไปมากกว่าที่ท่านคาดคิด ท่านหมดเงินไปจากบัญชีเป็นสิบครั้งเ เละคิดจะเลิกตั้งหลายครั้งเเต่ท่านไม่เลิกเ พราะมันอยู่ในสายเลือดไปเเล้ว วันนึงในเสี้ยววินาทีท่านก็จะเข้าขั้นที่สาม

    ขั้นที่สาม – Eureka
    ช่วง สุดท้านของขั้นที่สองท่านเริ่มคิดได้ว่ามันไม่ใช่ที่ระบบที่ทำให้เกิดความ เเตกต่าง ท่านเริ่มที่จะคิดได้ว่าท่านสามารถทำเงินได้กับเเค่ simple moving average เเละไม่มีอย่างอื่น หากเเต่ว่าความคิดของท่านเ เละการจัดการเงินของท่านเป็นไปอย่างถูกต้อง ท่านเริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาในการเทรด เเละเข้าใจในตัวคาเเรกเตร์ในหนังสือทำให้เกิดความกระจ่าง การกระจ่างนี้เกิดจากสมองของท่านประติดประต่อได้ว่าไม่ว่าใคร ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าตลาดจะเป็นอย่างไรได้อย่างเเม่นยำในเวลาข้างหน้า ไม่ว่าจะสิบวินาทีหรืออีกยี่สิบนาที ท่านจะเลิกสนใจความคิดของคนอื่น ท่านเริ่มที่จะสร้างระบบของท่านเองเพียงระบบเดียว เเละมีความสุขกับระบบของท่าน เเละท่านเป็นคนกำหนดกะเกณฑ์ความเสี่ยงของตัวเอง ท่านจะเริ่มเทรดเมื่อท่านเห็นว่าท่านมีโอกาสที่จะทำกำไร เเละเมื่อเสียท่านก็ไม่โกรธตัวท่านเอง เพราะท่านรู้ว่าอยู่ในหัวของท่านว่าท่านไม่อาจคาดเดาตลาดได้เเละมันไม่ใช่ ความผิดของท่าน เมื่อท่านเทรดเเล้วเเล้วรู้ว่าเสียท่านปิดออเดอร์ เทรดอันต่อไปเเละต่อไปท่านรุ้ว่ามีเปอรเซ็นสำเร็จ เพราะท่านรู้ว่าระบบของท่านสามารถทำกำไรได้ ท่านเลิกที่จะมองเเค่การเทรดเเค่มุมมองของเทรดออเดอร์เดียว ท่านเปลี่ยนมุมมองของท่านเป็นอาทิตย์เเละคิดว่าเทรดผิดครั้งเดียวไม่ได้หมาย ความว่าระบบของท่านใช่ไม่ได้ ท่านจับไดว่าการเทรดขึ้นอยู่กับสิ่งเดียวคือความสมำเสมอเเละการมีวินัย ท่านเรียนรู้เรื่องการจัดการเงิน เเละความเสี่ยงทุกอย่างเริ่มซึมซับ ท่านมองย้อนกลับไปถึงนักเทรดที่ใหห้ความรู้กับท่าน เเต่ก่อนด้วยความยิ้มเเย้มว่าตอนนั้นท่านยังไม่พร้อมเเต่ตอนนี้พร้อมเเล้ว

    ขั้นสี่ - มีสติเเละความสามารถ
    ท่าน ทำการเทรดเมื่อระบบของท่านบอก ท่านทำใจยอมรับการเสียได้เหมือนกับท่านได้กำไรจากการเทรด ตอนนี้ท่านปล่อยให้ออเดรที่ทำกำไรทำกำไรถึงที่สุด โดยยอมรับความเสี่ยง เเละรู้ว่าระบบของท่านทำกำไรได้มากกว่าที่เสียไป.เเละเมื่อท่านอยู่ฝั่งที่ เสียท่านปิดออเดอร์โดยเจ็็บปวดเล็กน้อยใน account ของท่าน ตอนนี้ท่านถึงจุดที่ท่านเสมอตัวซะส่วนมาก ทุกทุกวันจะมีบางอาทิตย์ที่ท่านได้100 pips เเละสัปดาห์ที่เสีย100 pips เเต่ท่านก็เสมอตัวไม่ขาดทุน ตอนนี้ท่านรู้ว่าท่านเป็นคนตัดสินใจในการเทรดเเละเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ตามระบบของท่านไม่ว่าได้หรือเสีย.ท่านได้รับการยอมรับจากนักเทรดคนอื่นๆ ท่านยังต้องขัดเกลาเเละเช็คการเทรดของท่านอย่างสมำเสมอ ท่านเริ่มที่จะทำเงินได้มากกว่าเสีย ท่านจะเริ่มวันด้วยการได้กำไร 20 pips เเละก็ เสีย 35 pips เเต่ท่านไม่รู้สึกอะไร เพราะท่านรู้ว่าเสียไปเเล้วมันก็จะกลับมาหาท่านอีก ท่านเริ่มที่จะทำกำไรสัปดาร์ต่อสัปดาร์ 20 pipsสัปดาร์นี้ 50 pips สัปดาร์หน้า ขั้นนี้จะประมาณ หกเดือน

    ขั้นห้า – ไร้สติเเต่มีความสามารถ
    ขั้น นี้เหมือนเราขับรถ ทุกวันเราขึ้นรถขับออกไปปโดยสัณชาตญาณ เหมือนกับเราเทรด ท่านเทรดโดยสัญชาตญาณ เทรดเเบบ autopilot ท่านไม่ตื่นเต้นไม่ว่าจะทำได้ 200 pips หรือ 1 pip ท่านเห็นเด็กใหม่ในฟอรั่มเเล้วย้อนคิดไปถึงท่านในอดีตหลายปีมาเเล้ว นี้คือสวรรคของการเทรด – ท่านได้บรรลุโดยการเทรดเเบบไม่ใช่อารมณ์ เเละความรู้สึกมาร่วม Account ของท่านเติบโตขึ้น ท่านเป็นที่รู้จักของนักเทรดทุกคนคอยฟังความเห็นของท่าน เเต่ท่านรู้ว่าบางคนก็ไม่ทำตามเหมือนท่านสมัยก่อน การเทรดเริ่มน่าเบื่อเพราะพอท่านทำอะไรได้ดีหรือเก่งท่านก็จะเริ่มเบื่อไม่ มีอะไรมาทำให้ท่านได้รู้สึกเเข่งขัน ท่านเริ่มหายจากห้องสนทนา เเละหาเพื่อนคุยกันรู้เรื่องโดยที่ไม่ผันตามความคิดของท่าน ท่านไม่ได้เปลี่ยนเเปลงระบบ เเต่พัฒนาระบบให้ดีขึ้น ตอนนี้ท่านมีสัญชาตญาณในการเทรด ท่านสามารถเรียกตัวเองได้เต็มปากว่า “forex trader” เเต่ท่านไม่รู้สึกอะไรคิดเเค่มันก็เเค่เป็นอาชีพอาชีพหนึ่ง

    โปรด จำไว้ว่าเเค่ ห้าเปอรเซ็นของนักเทรดที่สามารถถึงจุดนี้ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความฉลาดหรือความสามารถ เเต่ขึ้นอยู่กับความสามารถที่จะเปลี่ยนความคิดของตัวเอง เเละความหัวเเข็งของท่านได้ไหม เมื่อเวลาที่ท่าได้รับความคิด เเละความรู้ใหม่ๆ ก่อนที่ท่านจะถอดใจ ลองคิดดูว่าท่านจะยอมใช่เวลาไปโรงเรียนกี่ปี ถ้าท่านรู้ว่าตอนจบมามีงานที่ทำเงินได้ล้านนึงต่อปีรออยู่

    รวม ตัวอักษรย่อของเงินแต่ละสกุล

  • on
  • 1. AED เดอร์แฮมสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
    2. AFN อัฟกานีอัฟกานิสถาน
    3. ALL เลกแอลเบเนีย
    4. AMD แดรมอาร์เมเนีย
    5. ANG กิลเดอร์เนเธอร์แลนด์แอนทิลลิส
    6. AOA ควันซาแองโกลา
    7. ARS เปโซอาร์เจนตินา
    8. AUD ดอลลาร์ออสเตรเลีย
    9. AWG กิลเดอร์อารูบา
    10. AZM มานัตอาเซอร์ไบจาน
    11. BAM มาร์กคอนเวอร์ทิเบิลบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา
    12. BBD ดอลลาร์บาร์เบโดส
    13. BDT ตากาบังกลาเทศ
    14. BGN เลฟบัลแกเรีย
    15. BHD ดีนาร์บาห์เรน
    16. BIF ฟรังก์บุรุนดี
    17. BMD ดอลลาร์เบอร์มิวดา
    18. BND ดอลลาร์บรูไน
    19. BOB โบลีเวียโนโบลิเวีย
    20. BOV Bolivian Mvdol (Funds code)
    21. BRL เรียลบราซิล
    22. BSD ดอลลาร์บาฮามาส
    23. BTN เอ็งกุลตรัมภูฏาน
    24. BWP ปูลาบอตสวานา
    25. BYR รูเบิลเบลารุส
    26. BZD ดอลลาร์เบลีซ
    27. CAD ดอลลาร์แคนาดา
    28. CDF ฟรังก์คองโก
    29. CHF ฟรังก์สวิส
    30. CLF Chilean Unidades de fomento (Funds code)
    31. CLP เปโซชิลี
    32. CNY หยวนเหรินหมินปี้ (สาธารณรัฐประชาชนจีน)
    33. COP เปโซโคลอมเบีย
    34. COU Colombian unidad de valor real (added to the COP)
    35. CRC โกลองคอสตาริกา
    36. CSD ดีนาร์เซอร์เบีย
    37. CUC Cuban convertible peso (replaced USD as additional national currency in November 2004)
    38. CUP เปโซคิวบา (still in use)
    39. CVE เอสคูโดเคปเวิร์ด
    40. CYP ปอนด์ไซปรัส
    41. CZK โครูนาเช็ก
    42. DJF ฟรังก์จิบูตี
    43. DKK โครนเดนมาร์ก
    44. DOP เปโซโดมินิกัน
    45. DZD ดีนาร์แอลจีเรีย
    46. EEK ครูนเอสโตเนีย
    47. EGP ปอนด์อียิปต์
    48. ERN แนกฟาเอริเทรีย
    49. ETB เบอร์เอธิโอเปีย
    50. EUR ยูโร
    51. FJD ดอลลาร์ฟิจิ
    52. FKP ปอนด์หมู่เกาะฟอล์กแลนด์
    53. GBP ปอนด์สเตอร์ลิง (สหราชอาณาจักร)
    54. GEL ลารีจอร์เจีย
    55. GHC เซดีกานา
    56. GIP ปอนด์ยิบรอลตาร์
    57. GMD ดาลาซีแกมเบีย
    58. GNF francGuinea
    59. GTQ Guatemalan quetzal
    60. GYD ดอลลาร์กายอานา
    61. HKD ดอลลาร์ฮ่องกง
    62. HNL Honduran lempira
    63. HRK Croatian kuna
    64. HTG กูร์ดเฮติ
    65. HUF ฟอรินต์ฮังการี
    66. IDR รูเปียห์อินโดนีเซีย
    67. ILS เชเกลอิสราเอล
    68. INR รูปีอินเดีย
    69. IQD ดีนาร์อิรัก
    70. IRR เรียลอิหร่าน
    71. ISK โครนาไอซ์แลนด์
    72. JMD ดอลลาร์จาเมกา
    73. JOD ดีนาร์จอร์แดน
    74. JPY เยนญี่ปุ่น
    75. KES ชิลลิงเคนยา
    76. KGS ซอมคีร์กีซสถาน
    77. KHR เรียลกัใพชา
    78. KMF ฟรังก์คอโมโรส
    79. KPW วอนเกาหลีเหนือ
    80. KRW วอนเกาหลีใต้
    81. KWD ดีนาร์คูเวต
    82. KYD ดอลลาร์หมู่เกาะเคย์แมน
    83. KZT เทงเจคาซัคสถาน
    84. LAK กีบลาว
    85. LBP ปอนด์เลบานอน
    86. LKR รูปีศรีลังกา
    87. LRD ดอลลาร์ไลบีเรีย
    88. LSL โลตีเลโซโท
    89. LTL ลีตัสลิทัวเนีย
    90. LVL ลัตลัตเวีย
    91. LYD ดีนาร์ลิเบีย
    92. MAD เดอร์แฮมโมร็อกโก
    93. MDL ลิวมอลโดวา
    94. MGA อะเรียรีมาดากัสการ์
    95. MKD เดนาร์มาซิโดเนีย
    96. MMK จ๊าดพม่า
    97. MNT ทูกริกมองโกเลีย
    98. MOP ปาตากามาเก๊า
    99. MRO อูกียามอริเตเนีย
    100. MTL ลีรามอลตา
    101. MUR รูปีมอริเชียส
    102. MVR Maldives rufiyaa
    103. MWK Malawi kwacha
    104. MXN เปโซเม็กซิโก
    105. MXV Mexican Unidad de Inversión (UDI) (Funds code)
    106. MYR ริงกิตมาเลเซีย
    107. MZM Mozambique metical
    108. NAD ดอลลาร์นามิเบีย
    109. NGN Nigerian naira
    110. NIO Nicaraguan córdoba
    111. NOK โครนนอร์เวย์
    112. NPR รูปีเนปาล
    113. NZD ดอลลาร์นิวซีแลนด์
    114. OMR Omani rial
    115. PAB Panamanian balboa
    116. PEN Peruvian nuevo sol
    117. PGK Papua New Guinea kina
    118. PHP เปโซฟิลิปปินส์
    119. PKR รูปีปากีสถาน
    120. PLN ซวอตีโปแลนด์
    121. PYG Paraguayan guaraní
    122. QAR Qatari rial
    123. RON ลิวโรมาเนีย
    124. RUB Russian ruble
    125. RWF Rwandan franc
    126. SAR Saudi Arabian riyal
    127. SBD ดอลลาร์หมู่เกาะโซโลมอน
    128. SCR รูปีเซเชลส์
    129. SDD Sudanese dinar
    130. SEK Swedish krona
    131. SGD ดอลลาร์สิงคโปร์
    132. SHP ปอนด์เซนต์เฮเลนา
    133. SIT Slovene tolar
    134. SKK Slovak koruna
    135. SLL Sierra Leonean leone
    136. SOS Somali shilling
    137. SRD ดอลลาร์ซูรินาเม
    138. STD São Tomé and Príncipe dobra
    139. SYP ปอนด์ซีเรีย
    140. SZL ลิลังเจนีสวาซิแลนด์
    141. THB บาทไทย
    142. TJS โซโมนีทาจิกิสถาน
    143. TMM มานัตเติร์กเมนิสถาน
    144. TND Tunisian dinar
    145. TOP Tongan Pa'anga
    146. TRY ลีราตุรกี
    147. TTD ดอลลาร์ตรินิแดดและโตเบโก
    148. TWD ดอลลาร์ไต้หวัน
    149. TZS ชิลลิงแทนซาเนีย
    150. UAH ฮริฟเนียยูเครน
    151. UGX ชิลลิงยูกันดา
    152. USD ดอลลาร์สหรัฐ
    153. USN United States dollar (Next day) (Funds code)
    154. USS United States dollar (Same day) (Funds code) (one source claims it is no longer used, but it is still on the ISO 4217-MA list)
    155. UYU เปโซอุรุกวัย
    156. UZS ซอมอุซเบกิสถาน
    157. VEB โบลีวาร์เวเนซุเอลา
    158. VND ดองเวียตนาม
    159. VUV วาตูวานูอาตู
    160. WST Samoa Tala
    161. XAF CFA franc BEAC
    162. XAG Silver ounce
    163. XAU Gold ounce
    164. XBA European Composite Unit (EURCO) (Bonds market unit)
    165. XBB European Monetary Unit (E.M.U.-6) (Bonds market unit)
    166. XBC European Unit of Account 9 (E.U.A.-9) (Bonds market unit)
    167. XBD European Unit of Account 17 (E.U.A.-17) (Bonds market unit)
    168. XCD ดอลลาร์แคริบเบียนตะวันออก
    169. XDR Special Drawing Rights (IMF)
    170. XFO Gold-franc (Special settlement currency)
    171. XFU UIC franc (Special settlement currency)
    172. XOF CFA franc BCEAO
    173. XPD Palladium ounce
    174. XPF CFP franc
    175. XPT Platinum ounce
    176. XTS Code reserved for testing purposes
    177. XXX No currency
    178. YER เรียลเยเมน
    179. ZAR แรนด์แอฟริกาใต้
    180. ZMK ควาชาแซมเบีย
    181. ZWD ดอลลาร์ซิมบับเว

    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t588/?/

    Forex กับ กราฟ(Graph)

  • on
  • กราฟ(Graph) มีความสำคัญกับ Forex เป็นอย่างมาก อาจจะบอกได้ว่า Forex คือร่างการ และ กราฟ(Graph) คือหัวใจ ก็ว่าได้ ถ้าคุณอ่าน กราฟ(Graph) หรือวิเคราะห์ กราฟ(Graph) เป็น คุณก็จะสามารถทำรายได้กับ Forex ได้มากยิ่่งขึ้น และเสียเงินน้อยลง แต่ถ้าคุณบอกว่า การเล่นค่าเงิน Forex มันต้องเล่นตามดวง ถ้าคุณคิดเช่นนั้น เราก็ขอแนะนำว่า ให้คุณเตีรยมเงิืนไว้เยอะๆ เพราะดวงคุณอาจจะต้องใช้เงินมากก็ได้

    ขอ ให้คุณจำไว้ว่า ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไร หรือทำธุรกิจอะไร ถ้าจะให้ประสบความสำเร็จ ต้องทำตามขั้นตอนเสมอ เพราะความสำเร็จมันไม่มี "ทางลัด"หรอกเชื่อเถอะ เช่นเดียวกัน เมื่อคุณอยากมีรายได้จาำกการเทรดค่าเงิน Forex สิ่งแรกที่คุณควรศึกษาให้มาก นั้นคือ กราฟ(Graph) ไม่ใช้มั่วแต่หาทางลัด ว่าจะทำอย่างไรให้เทรดได้เงินเยอะๆ เชื่อเถอะว่ามันไม่มีทางลัดหรอก

    คุณ ต้องเข้าใจว่า ถ้ากราฟเส้นนี้ขึ้นไปถึงจุดนี้แล้ว ต่อไปมันจะ ขึ้นหรือลง หรือไซค์เวย์ แล้วถ้าเส้นกราฟ(Graph) ตัดกันนะจุดหนึ่ง มันจะหมายถึงขึ้นหรือลง และยังมีอะไรให้ศึกษาอีกมากมาย ซึ่งเราได้รวบรวมให้คุณไว้ที่นี่แล้ว ก็ลองศึกษากันดู

    และการใช้ โปรแกรม กราฟ(Graph) จากหลายๆ ที่มาช่วยในการวิเคราะห์การขึ้นลงของค่าเงินนั้น เป็นการดีอย่างมาก เพราะโปรแกรมกราฟ(Graph) แต่ละตัวจะช่วยให้คุณวิเคราะห์ และเปรียบเทียบ การขึ้นลงของค่าเงิน Forex เพื่อสร้างความมั่นใจให้คุณทุกครั้งก่อนเทรด

    คุณ อย่าเทรด Forex สวนทางกราฟ(Graph) เว้นแต่คุณมั่นใจจริงๆ ว่าคุณได้แน่ๆ แต่เราว่ามันเป็นการเสี่ยงโดยไม่จำเป็น และการเทรด Forex ทุกครั้งต้องรอจังหวะ ถ้าขณะนั้นกราฟ(Graph) มีการไซค์เวย์ คือ มีการขึ้นลงค่อนข้างเร็วและถี่ เส้นกราฟ(Graph) ขยายออกทางด้านข้าง คุณไม่ควรที่จะรีบเทรด เพราะนั้นหมายถึง ความแน่นอนของเงินในกระเป๋าคุณ เริ่มลดน้อยลง

    ดังนี้ การเล่นหุ้น หรือ การเทรดค่าเงิน Forex ต่อให้คุณ เป็นเซียนขนาดไหน คุณก็ต้องใช้ กราฟ(Graph) ในการที่จะทำให้คุณรวยได้ เรามีสิ่งหนึ่งที่ต้องการที่จะให้คุณท่องไว้ให้ขึ้นใจ คือ "วิเคราะห์กราฟ(Graph)ให้เป็น, รู้จักรอจังหวะ, อย่าโลภ, อย่าใช้อารมณ์, และอย่างลังเล"

    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-(graph)/?/

    วางแผนการเทรด และเทรดตามแผนของคุณ

  • on
  • ในการเทรด ไม่ควรตัดสินตามอารมณ์ ความรู้สึกของคุณ ว่า ราคาน่าจะขึ้น ราคาน่าจะลง แล้วเปิดคำสั่งเทรด คุณจำเป็นต้องมีแผนในการเทรดเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ แผนการเทรดที่ดี ควรประกอบด้วย

    1. การกำหนดจุดเข้า หรือสัญญาณในการเข้าเทรด,
    2. การกำหนดจุดตัดขาดทุน (Stop-Loss),
    3. การกำหนดเป้าหมายกำไร (Target),
    4. การวางแผนการเงิน (Money Management)

    จัด สรรเงินเทรด ให้เหมาะสม แผนการเทรดที่ดี จะช่วยให้คุณตัดอารมณ์ ออกจากการเทรด ช่วยให้คุณไม่ต้องมานั่งเครียด เวลาติดลบเยอะๆ ไม่ต้องถูกบังคับปิด เมื่อ Margin ของคุณหมด ตัวอย่างแผนการเทรด หรือระบบเทรด

    เทรนคือเพื่อนของคุณ:
    อย่า คิดสวนเทรน หาจังหวะหรือสัญญาณ เพื่อ Buy/Long เมื่อตลาดอยู่ในภาวะ Bullish (เทรนขึ้น-กระทิงขวิดขึ้น) และหาจังหวะ หรือสัญญาณ เพื่อเข้า Sell/Short เมื่อตลาดอยู่ในภาวะ Bearish (เทรนลง-หมีตะปบลง)


    การรักษาเงินลงทุน
    สิ่ง ที่สำคัญอีกอย่าง เมื่อทำการเทรด ต้องรักษาเงินในบัญชีของคุณให้ดีู่ การเปิดคำสั่งเทรด แต่ละคำสั่ง ไม่ควรเกิน 10% ของเงินลงทุนที่มีอยู่ ตัวอย่างเช่น ถ้ามีเงินอยู่ในบัญชี $100 ในการเทรดแต่ละครั้ง ไม่เกิน $10 ถ้าไม่มีการรักษาเงินลงทุน เงินทุนอาจลดลงอย่างรวดเร็ว จนหมดและคุณอาจท้อ จนต้องเลิกไปเลย


    รู้ว่าเมื่อไหร่ต้องตัดขาดทุน:
    ถ้า ราคาวิ่งตรงข้ามกับที่เทรดไว้ ควรปิดทิ้งแล้ว รอสัญญาณ หรือโอกาสในการเข้าใหม่ อย่าถือไว้โดย หวังว่าราคาจะวิ่งกลับมา ให้เราปิดทำกำไร การถือติดลบไว้ ทำให้คุณเสียโอกาส ในสัญญาณดีๆ และจะต้องมานั่งเครียด กลัว margin จะหมด ดังคำ "เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย" ถ้าเลวร้ายจริงๆ อาจถึง โดนสั่งปิดไปเลย ดังนั้น ก่อนทำการเทรด จึงควรหาจุด Stop-Loss จุดที่คุณต้องปิดทิ้ง เมื่อราคาวิ่งตรงข้าม จากที่คาดหมายไว้ โดยอาจกำหนดไว้ เลย เช่น -20 จุด หรือ -30 จุด หรืออาจดูจาก แนวรับ-แนวต้าน นำมาตั้งเป็นจุด Stop-Loss

    ปิดทำกำไรเมื่อได้โอกาส:
    ก่อน ทำการเทรด ตั้งเป้าหมายไว้ ว่าต้องการกำไรเท่าไหร่ เมื่อได้โอกาส ก็ควรปิดเพื่อทำกำไร เป้าหมาย หรือ Target อาจกำหนดตายตัว ขึ้นอยู่กับความพอใจของเรา เช่น กำไร 20 จุด, กำไร 30 จุด, 50 จุด หรือกำหนดจาก แนวรับ-แนวต้าน หรืออาจใช้เครื่องมือช่วย เช่น Fibonacci หรือ Pivot Point เป็นตัวกำหนด

    ตัดอารมณ์ออกไป:
    2 อารมณ์ ที่มีผลมากในการเทรด คือ ความโลภ และความกลัว อย่าให้ความโลภ และความกลัว เข้ามามีผลต่อการเทรดของคุณ หมั่นฝึกฝน เทรดให้เป็นระบบ เทรดตามแผน หรือระบบเทรด ที่วางไว้ ตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop-Loss), เป้าหมาย (Target) , บริหารเงินให้ดี คุณก็จะมีโอกาส ประสบความสำเร็จ ใน Forex ได้

    อย่าเทรดมากจนเกินไป:
    คุณ ไม่ควรเปิดเทรด มากจนเกินไป ปกติในเวลาหนึ่ง ควรมี Position ที่เทรดค้างไว้ ไม่เกิน 3-5 Position ถ้ามีมากเกินไป คุณอาจควบคุมไม่ได้ หรืออาจใช้ อารมณ์ในการ ตัดสินใจ เมื่อตลาดเกิดการเเปลี่ยนแปลง ดังนั้นอย่าเปิดเทรด มากจนเกินไป

    เมื่อไม่แน่ใจ ไม่ต้องเทรด:
    เมื่อ คุณมั่นใจ หรือกำลังสับสน กับสภาวะของตลาด ไม่แน่ใจว่าราคา จะวิ่งไปทางไหน ใหัอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร บางครั้งการไม่ทำอะไร ก็อาจดีที่สุด

    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t591/?/

    มีทุนน้อยจะลงทุนใน Forex อย่างไรดี?

  • on
  • - จากที่เราสั่งซื้อด้วยเงินเพียง $1 ของเราเอง กำไรมันน้อยนิดมาก ขนาด +50 จุดยังทำเงินได้ 17 สตางค์เอง หากเราอยากทำกำไรเยอะๆ เช่น pip ละ $1 (50 pip ก็คือ $50) เราต้องสั่งเทรดถึง $10,000 เลยทีเดียว มีทุนไม่พอแน่ ทำไงดี ตรงนี้แหล่ะคjtที่ Leverage เข้ามามีผล Leverage มีผลกับการ เทรด Forex อย่างไร เรามาดูกัน

    มารู้จัก Leverage กันค่ะ
    - Leverage 1:100 แปลว่า เราใช้ทุนของเราเองเพียง 1 เพื่อสั่งซื้อ-ขาย 100 เช่น เราจะสั่งซื้อ EUR มาถือไว้ โดยจะซื้อที่ราคา 1.3502 จำนวน 100 USD (คือได้มา 74.0631 EUR) เราไม่ต้องใช้ 100 USD ค่ะ เราจะใช้เพียง 1 USD เพื่อแลก 74.0631 EUR มาถือไว้ ซึ่งเมื่อเราขายคืนไปที่ 1.3552 หรือกำไรมา 0.0050 แทนที่เราจะกำไรแค่ นั้น จะกลายเป็นว่าเราจะทำกำไรได้ 0.50 usd แปลว่าเราสามารถทำกำไรได้ 50% จากเงินที่เราลง (เราลงเพียง $1 เพื่อทำกำไร $0.50)

    - แต่ไม่ต้องห่วงนะค่ะ ว่าเราจะมีเงินพอรึเปล่า เวลามี Leverage แบบนี้ เพราะเวลาเทรดเราจะสั่งเทรดอย่างมาก ไม่เกิน 40% ของทุน (แต่แนะนำที่ 10% ค่ะ จะได้มีเหลือไว้แก้ตัว) เช่นถ้าเรามีทุน $100 เราก็สั่งเทรดเพียง $10 หรือ 10% (แต่เวลาสั่ง $10 คือ 1,000 unit นะค่ะ ที่ Leverage 1:100) 10% ที่ใช้ เราจะเรียกว่า used margin เวลาราคาวิ่งขึ้นหรือลง มันจะมาบวก หรือ ลบ ที่ 90% ที่เหลือ หรือที่เรียกว่า available margin หากเราติดลบไปเรื่อยๆ จน available หมด ระบบจะทำการตัดขาดทุน โดยการปิด order นี้ โดยอัตโนมัติ นั่นคือ โบรกเกอร์จะไม่ยอมขาดทุนแทนเราหรอกค่ะ

    - คิดคร่าวๆ คือ เราจะทำกำไร (ขาดทุน) ได้ ประมาณ 1% ต่อ pip จากเงินทุนของเรา (คู่อื่นอาจจะไม่ถึง 1% บางคู่ก็มากกว่า เช่น EUR/GBP ตกประมาณ 2% ค่ะ) นั่น หมายความว่า ด้วยทุนเพียง $100 (3,400 บาท) คุณจะสามารถทำกำไรได้ถึงจุดละ $1 (สั่งเทรด 10,000 unit) หากทำได้ 10 จุดต่อวัน ก็วันละ $10 หรือ 340 บาท (โดยประมาณ) หรือวันละ 10% และด้วยทุนเพียง $1,000 (34,000 บาท) เราจะสามารถทำกำไรได้ถึงจุดละ $10 (สั่งเทรด 100,000 unit) หากทำได้ 10 จุดต่อวัน ก็วันละ $100 หรือ 3,400 บาท หรืออาจจะเริ่มเพียง $1 (34 บาท) โดยจะได้จุดละประมาณ 1 เซ็นต์

    - ค่อยๆ สะสมไปก็ได้ค่ะ เพราะมีแล้วคนที่ปั้น $5 จากทุนฟรีที่ Marketiva (โบรกเกอร์) มีให้ ไปเป็น $1,000 ใน 3 เดือน ลอง คิดดูเล่นๆู ล่ะกันค่ะ ถ้าเพียงคุณสามารถทำกำไรได้ 10% ของทุนต่อวัน เพิ่มไปเรื่อยๆ 6 เดือน (120 วันเทรด) จะเป็นเงินเท่าไหร่ จากทุนเพียง $5 เป็น $463,545.34 หรือ 15,765,541.60 บาท ครับ โอ้ววววว พระเจ้าช่วย (ทำได้แค่ 5% ของไอเดียนี้ก็สุดยอดแล้วค่ะ)

    - ปกติ EUR/USD จะไม่แรงมาก ทำวันละ 20-30 จุดได้ หากเป็นบางคู่ เช่น GBP/JYP (ทุกวันนี้ผมเล่น GBP/JYP เป็นหลัก เพราะแรง เร้าใจ) ดิฉันเคยทำได้มากสุด +250 จุด เพียงช่วงเวลาที่หลับ (เที่ยงคืน) จนมาถึงเวลาที่ตื่น (7 โมงครึ่ง) หรือ 250% ของเงินทุนที่เทรด

    - ที่ FxOpen (โบรกเกอร์) ให้เราสามารถ up Leverage ได้สูงสุดถึง 1:500 นั่นแปลว่า เราใช้ทุนตัวเองเพียง $200 ในการเทรด 100,000 unit (หรือ 1 lot จะได้จุดละ $10) เอง

    - แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Leverage ก็เป็นดาบ 2 คม ที่ทั้งทำให้ รวย-จน ได้ในพริบตา Leverage และการที่มันวิ่งขึ้นลงทั้งวัน นี่แหล่ะค่ะ ที่ทำให้ Forex สนุก และเร้าใจ

    คุณสามารถลงทุนใน Forex แทนได้ โดยใช้ทุนเริ่มต้นเพียงน้อยนิด มาเริ่มเรียนรู้การลงทุนและทำเงินจาก Forex Trading ได้ที่นี่ และจงจำไว้เสมอว่า "การลงทุนมีความเสี่ยง"

    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-592/?/

    เคล็ดลับสำคัญวิธีการเรียนรู้ Forex Trading

  • on
  • ให้การศึกษาหลายคนที่ตัดสินใจที่จะป้อน forex trading ควรแก่ตัวเองครั้งแรก. จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรู้พื้นฐานของการเทรดเข้าสำเร็จแม้, แต่นี่ไม่มีการรับรอง, โดยการยิงยาวไม่, คุณต้องการทราบเพิ่มเติมจากพื้นฐานถึงแม้แต่มีโอกาส fighting ของ succeeding. มีวิธีต่าง ๆ ในการเรียนรู้ forex trading. คุณสามารถเข้าร่วมบริการออนไลน์, การลงทะเบียนในการเทรดโรงเรียน, กลายเป็น การ apprentice ของวาณิชเป็น forex, หรือทำคนเดียว. อย่างไรก็ตาม, ทำคนเดียวเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เริ่ม ต้น.

    สำหรับ traders ไม่มีประสบการณ์, ดีมากควรเลือกวิธีปลอดภัยกว่าเรียน forex trading. คุณจะได้รับประโยชน์จากผู้สอนมีประสบการณ์ที่กำลังทำการค้าแล้ว forex ในเวลาจริง. ในลักษณะนี้, คุณจะได้รู้จักมักจี่เงื่อนไขที่ตลาดจริง. คุณจะได้รับโอกาสเพื่อดูกระบวนการที่แท้จริงและการตัดสินใจซึ่งคุณสามารถ adopt ในภายหลัง. อย่างไรก็ตาม, มันเป็นกลยุทธ์ของคุณเองที่จะชนะคุณขึ้น.

    มีขั้นตอนง่าย ๆ ที่หกที่ traders ไม่มีประสบการณ์สามารถปฏิบัติตามเพื่อให้บรรลุความสำเร็จในตลาด forex.
    1. ทัศนคติด้านขวา. Traders ที่ประสบความสำเร็จในการซื้อขาย forex จะใช้ทัศนคติของการทำสิ่งที่จะใช้เพื่อให้บรรลุความสำเร็จ. Stresses นี้ประสบความสำเร็จนั้นอยู่ในบุคคลที่กำลังทำการค้า forex เอง. ไม่ใช่สิ่งสำคัญถ้าคุณอ่าน forex ค้าเคล็ดลับแผ่น หรือฟังเทรดกูรู. จะกลายเป็นไม่ถูกต้องถ้าคุณไม่มีท่าทีที่เหมาะสมสำหรับความสำเร็จ.

    คุณ สามารถทำการทดลองด้วยตนเองสำหรับสองสัปดาห์ร่วมกับ traders อื่น ๆ ไม่มีประสบการณ์. พวกเขามักจะเรียกว่าเป็น turtles. เรียนรู้การซื้อขาย forex คือหลีกเลี่ยงกับดักของเชื่อว่า คุณจริง ๆ สามารถเข้าประสบความสำเร็จ โดยต่อบุคคลอื่น. เพิ่งได้รับความรู้ด้านขวา และพัฒนากลยุทธ์ของคุณเอง.

    2. วิธีการด้านขวา. มันควรเกี่ยวข้องกับแนวโน้มระยะยาว. โปรดจำไว้ว่าแนวโน้มในสกุลใหญ่กินเวลาเดือน หรือแม้แต่ สำหรับปี. เป็นความรับผิดชอบของคุณเพื่อล็อกตัวเองเข้าไปในแนวโน้มเหล่านี้เพื่อทำให้ กำไรขนาดใหญ่. ดีที่สุดแนะนำให้ใช้วิธีการหยุดการจับแนวโน้มระยะยาว. วิธีการนี้ได้พิสูจน์ ด้วยการนำระบบซื้อขาย. ซอฟต์แวร์ดียังได้แนะนำให้ใช้. ซึ่งช่วยให้คนขายเพื่อทดสอบวิธีการค้าที่ถูกเลือก และในภายหลังค้าในเวลาจริง.

    คุณจำเป็นต้องรู้ว่าการสร้างแผนภูมิที่ เหมาะสมและการแมป. มีพร้อมใช้งานซอฟต์แวร์ที่จะช่วยคุณเกี่ยวกับการย้ายตลาดอยู่แล้ว. มันจะช่วยให้คุณคำนวณเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการขาย หรือการซื้อเมื่อคุณได้อ่านแผนภูมิการตลาด forex.

    3. วินัยด้านขวา. Traders ที่ควรวินัยตัวเอง โดยเคร่งครัดต่อในวิธีของพวกเขาพัฒนาแล้วแม้ว่าการสูญหายของรอบระยะเวลา strikes. มันไม่สามารถสอนได้เทคนิคใหม่ ๆ เกี่ยวกับวิธีการเอาตัวรอดในตลาด forex แม้เมื่อ downfalls ตี.

    4. ความรู้ด้านขวา. Traders ที่สามารถเรียนรู้วิธีการเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว, อย่างไรก็ตาม, พวกเขาควรเอาชนะจิตนี่เกี่ยวข้องกับการซื้อขาย forex. ขอแนะนำให้อ่านหนังสือ motivational ที่มุ่งเน้นเรื่องนี้ส่วนใหญ่.

    5. มีความเสี่ยง. ข้อผิดพลาดทั่วไปที่ดำเนินการ โดยส่วนใหญ่ forex traders พยายามที่จะจำกัดความเสี่ยง. ในสุด พวกเขาอาจประสบการขาดทุนอย่างมากเนื่องจากพวกเขาที่ถูกบล็อกออกในตลาด forex. ทิศทางของเจ้าคือขวาอย่างไรก็ตาม ทางการค้าไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับ downsides. จำไว้เสมอว่า ใน forex ค้าความเสี่ยง lays เงินรางวัล. ไม่มีความแตกต่างระหว่างรีบในการรับความเสี่ยงซึ่งจะถูกคำนวณเรียบร้อยแล้ว. อนุญาตเฉพาะให้คุณรอโอกาสด้านขวา.

    6. ค้าขายในการแยก. คนขายของที่ควรเรียนรู้นี้จะทำให้การโฟกัส. จำไว้ว่า ถ้าคุณจะเปิดไปยังมุมมองและความคิดเห็นของผู้อื่น, มันอาจสนับสนุนให้คุณถ้าคุณพบว่าแตกต่างกันมาก. ความหมายไม่จำเป็นว่า คุณได้ทำตามความคิดเห็นที่ตกลงกัน โดยมาก traders, เนื่องจากมัก, traders หลายรับขาดทุน.

    Forex ตลาดถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก. เป็นปฏิบัติยี่สิบสี่ชั่วโมงต่อวัน, อาทิตย์ละ 5 วัน. กระบวนการของจะถูกดำเนินในเวลาจริงโดยไม่มีขอบเขต. ความสำเร็จของคนขายยังขึ้นกับการทำการตัดสินใจด้านขวา. เรียนรู้การซื้อขาย forex มีไม่มีอุปสรรคและจุดดังนั้นคุณจำเป็นต้องมีความเข้าใจดีขึ้นก่อน plunging ลงในธุรกิจ. แม้ว่าบางคนแนะนำที่เรียน forex ในขณะที่การค้าเป็นดีที่สุด, แต่เป็นการตัดสินใจเลือกวิธีการที่ดีที่สุดในการเรียนรู้ที่จะเหมาะสมกับ ความต้องการของคุณ.

    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-trading-594/?/

    ค่าคอมมิสชัน ในการเทรด Forex

  • on Wednesday, April 29, 2015
  • โบรคเกอร์ forex หลายโบรคเกอร์ ได้โฆษณาว่าฟรีค่าคอมมิสชัน (Commission) แต่จริงๆ แล้วมันเป็นยังไง?

    อัน ที่จริงการเทรด forex นั้นต้องเสียค่าใช้จ่าย (จะเรียกว่าค่าคอมมิสชัน หรือไม่ก็ตาม) ถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับการซื้อขายหุ้น หรือกองทุนในบ้านเราซึ่งมีค่าคอมมิสชันจะอยู่ที่ประมาณ 0.2% ของมูลค่าที่ทำการเทรด ดังนั้นการที่โบรคเกอร์ forex ส่วนใหญ่ ทำการตลาดโดยอ้างว่า ฟรีค่าคอมมิสชัน ที่จริงแล้วมันไม่จริงทั้งหมด และอาจทำให้เข้าใจผิดได้

    ในตลาด forex นั้น คล้าย กับตลาดอื่น ๆ นั้นคือมีการตั้งซื้อ (Bid) และตั้งขาย (Ask) ราคาตั้งซื้อคือราคาที่เราสามารถขายได้ในขณะนั้น ส่วนราคาตั้งขายก็คือราคาที่เราสามารถซื้อได้ในขณะนั้น

    ผลต่าง ระหว่างราคาตั้งซื้อ และตั้งขาย นั้นเรียกว่า Spread ยกตัวอย่าง EUR/USD ราคา Bid ที่1.4156 และ Ask ที่ 1.4159 ดังนั้นค่า Spread ของ EUR/USD จะเท่ากับ 0.0003 หรือ 3 PIPS ถ้าเราทำการเปิด Order ทำการซื้อขณะนั้น เราจะซื้อได้ที่ 1.4159 และ Transaction ของเราจะขึ้นเป็น -3 PIPS ทันที ถ้าเราปิดออร์เดอร์ขณะนั้นโดยอัตราแลกเปลี่ยนยังไม่เปลี่ยนแปลงเราจะขายได้ ที่ 1.4156 และขาดทุนทันที 0.0003 หรือ 3 PIPS จะเห็นได้ว่า ถ้ายิ่ง Spread กว้างมาก เราก็จะต้องจ่ายส่วนต่างนี้มากขึ้นไปด้วย ส่วนต่างตรงนี้เองที่ส่วนหนึ่งเป็นรายได้ของโบรคเกอร์ และเรา หรือผู้เทรดจำเป็นจะต้องจ่ายทุกครั้งที่เปิด Order ทำการเทรด

    บางคน อาจจะเห็นว่า เสียแค่ 0.0003 จากราคาประมาณ 1.4 นั้นไม่เท่าไหร่เองหนิ ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นก็แค่ประมาณ 0.03% เอง แต่อย่าลืมนะครับว่าการเทรด Forex นั้นมีระบบ Leverage ถ้า Leverage ที่ 1:100 นั้นก็เสมือนว่าเราส่งคำสั่งซื้อด้วยเงินทุน 100 เท่าจากเงินทุนจริงของเรา ดังนั้นถ้าเทียบกับเงินทุนจริงของเรา มันจะไม่ใช่ 0.03% แต่มันจะเป็น 3% นั้นเอง หรือถ้าเทรดในระบบLeverage 1:500 จำนวนเงินตรงนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้นไปอีกเป็น 15% ของเงินทุนจริงของเรา ที่นี้จะเห็นเลยใช่ไหม๊ครับ ว่ามันแพงหูฉี่เลยทีเดียว

    โบรคเกอร์แต่ ละที่จะมีค่า Spread ที่แตกต่างกันไป รวมไปถึง คู่อัตราแลกเปลียน แต่ละคู่ก็อาจมี Spread ที่แตกต่างกันด้วย หรือแม้กระทั้งคู่สกุลเงินคู่เดียวกัน แต่คนละช่วงเวลา บางโบรคเกอร์ค่า Spread ก็สามารถขึ้นลง และไม่ Fix ด้วยเช่นกัน ดังนั้นก่อนเปิดใช้บริการของโบรคเกอร์ ควรตรวจสอบค่า Spread ของโบรคเกอร์นั้นๆ ให้ดีก่อนนะครับ รวมไปถึงระบบ Spread ของโบรคเกอร์นั้น ๆ ว่าเป็นแบบ Fix คงที่ หรือเปลี่ยนแปลงได้ ในกรณีที่ใช้บริการของโบรคเกอร์ที่ไม่ Fix ค่า Spread ก่อนทำการเทรดทุกครั้ง ต้องตรวจสอบค่า Spread ในขณะนั้นก่อนส่งคำสั่ง ซื้อ ขาย ถ้ารีบร้อนเกิน กลัวไม่ได้ราคาที่เลงไว้ โดยไม่ได้ตรวจสอบ Spread ให้ดี เข้าเทรดไปแล้วอาจจะตกใจภายหลังได้ครับ

    จะเห็นได้ว่าการเลือกโบ รคเกอร์ ค่า Spread ก็เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งที่สามารถลดค่าใช้จ่ายของเราได้ ถึงแม่มันจะน้อยเมื่อเทียบ กับราคาที่วิ่งขึ้น วิ่งลง ของอัตราแลกเปลี่ยน แต่ถ้าเราประหยัดตรงนี้ได้ แค่ 1-2% ต่อการเทรดแต่ละครั้ง แต่รวมๆ หลายๆ ครั้งก็ไม่ใช่จำนวนเงินน้อย ๆ เลยนะครับ

    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-596/?/

    เส้นค่าเฉลี่ย หรือ Moving Average

  • on
  • นับเป็นเครื่องมือสำคัญ เครื่องมือหนึ่งในการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยมีส่วนช่วยในการมองเห็นถึงแนวโน้มการเคลื่อนที่ของราคาหุ้น รวมถึงจุดที่เปลี่ยนแนวโน้ม เพื่อเป็นสัญญาณซื้อขาย รวมถึงแนวรับแนวต้าน ของราคาหุ้นในช่วงเวลาต่างๆ

    ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนนั้น จะกำหนดเส้นค่าเฉลี่ย ในจำนวนวันที่แตกต่าง กัน ขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาการลงทุนของแต่ละบุคคล หรือรอบการเคลื่อนที่ของหุ้นตัวนั้น ว่าการกำหนดด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเท่าใด ที่น่าจะได้ผลตอบแทนสูงที่สุด

    โดยเส้นค่าเฉลี่ยที่ใช้กันทั่วไปมีตั้งแต่
    5     วัน   (1 สัปดาห์)  ใช้สำหรับการลงทุนระยะสั้น
    10   วัน  (2 สัปดาห์)   ใช้สำหรับการลงทุนระยะสั้น
    25   วัน  (ประมาณ1 เดือน) ใช้สำหรับการลงทุนระยะค่อนข้างปานกลาง
    75   วัน  (ประมาณ1 ไตรมาส) ใช้สำหรับการลงทุนระยะกลาง
    200 วัน  (ประเมาณ 1 ปี)  ใช้สำหรับการลงทุนระยะยาว

    ซึ่ง จำนวนวันเหล่านี้จะเป็นตัวบอกถึงราคาต้นทุนเฉลี่ยของคนที่ถือหุ้นมาแล้วใน ช่วงระยะเวลา แตกต่างกันเช่น ปัจจุบันราคาหุ้นยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25วัน ดังนั้นจึงบอกได้ว่า มีคนที่ถือหุ้นในช่วง 25วันที่ผ่านมา หรือนักลงทุนระยะกลางที่ยอมถือหุ้นนานกว่า 1 เดือน มีต้นทุนต่ำกว่า ราคาปัจจุบัน  ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้ ยังมองว่าหุ้นเป็นแนวโน้มขาขึ้นตราบที่ราคาหุ้นยังยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 25วัน

    ดังนั้นการหาสัญญาณ ซื้อหรือขายหุ้นจากเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่


    สัญญาณซื้อ คือ
    - เมื่อราคาเคลื่อนขึ้น และทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยตามช่วงระยะเวลาต่างๆ เช่น  5วัน, 10 วัน
    - เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น ตัดขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว  เรียกว่า (Golden cross)

    สัญญาณขายคือ
    - เมื่อราคาเคลื่อนลงและทะลุผ่านเส้นค่าเฉลี่ยตามฤฤฉช่วงระยะเวลาต่างๆ เช่น  5วัน, 10 วัน
    - เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น ตัดลงต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว เรียกว่า (Dead cross)


    ดัง ในภาพจะเห็นว่า ดัชนี SET index ปรับตัวเหนือเส้นค่าเฉลี่ย  5 วัน (สีเขียว) 10วัน(สีแดง) และ 25วันสีฟ้า นับแต่ต้นเดือนเมษายน หรือ (4/2 จากตารางกราฟ) ซึ่งจะเห็นว่าเกิดแรงขายจากนักลงทุนระยะสั้น บางครั้งเมื่อหุ้นต่ำกว่า เส้นค่าเฉลี่ย 5วัน แต่เมื่อราคาถึงเส้นค่าเฉลี่ย 10วัน หุ้นจะสามารถเด้ง กลับได้หาก นักลงทุนระยะ 10วันยังมองว่า หุ้นยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอยู่ ดังนั้นเมื่อถึงระดับดังกล่าว จะมีแรงซื้อ ซ้ำเพราะราคาหุ้นยังถูกอยู่กว่าราคาในอนาคต    ส่วน นักลงทุนระยะกลาง เช่น 25วัน จะยังคงถือหุ้น ตราบที่ SET index ไม่หลุด 730 จุด ดังที่เห็นในกราฟเป็นต้น

    ซึ่งตัวอย่างนี้ แสดงให้เห็นว่าบางครั้ง การซื้อขายระยะสั้น ตามสัญญาณ 5 วัน และ 10วันอาจให้ผลตอบแทนน้อยกว่าการถือระยะยาวเป็นรอบ จากการดูเส้นค่าเฉลี่ยที่ยาวขึ้น แต่อย่างไร เส้นค่าเฉลี่ย ไม่มีกำหนดตายตัวว่า ค่าไหนดีที่สุด ขึ้นอยู่กับนิสัยหุ้นตัว นั้น สภาวะตลาดโดยรวม

    ดังนั้นกลยุทธ์การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับ ระยะเวลาการถือครองหุ้น ซึ่งจะเป็นตัวเลือกด้วยการใช้เส้นค่าเฉลี่ยจาก จำนวนวันที่ต่างๆกัน แต่ ความแม่นยำ นั้นอาจขึ้นจากนิสัยของหุ้นตัวนั้น หรือ ผู้ที่ลงทุนในหุ้นตัวนั้นส่วนมาก เขาใช้เส้นค่าเฉลี่ยเท่าไหร และแบบใด

    ส่วน จุดอ่อนของการใช้เส้นค่าเฉลี่ย อาจเกิดขึ้นได้ หากหุ้นในช่วงนั้น เป็นลักษณะ Side way หรือแกว่งตัวในกรอบนานๆ อาจจะทำให้เส้นพันไป มา จึงเกิดทั้งสัญญาณหลอก ให้ ซื้อขาย ได้บ่อย  ก็ได้ ดังนั้น เส้นค่าเฉลี่ยนั้นจะเหมาะสำหรับการวิเคราะห์ในช่วงตลาดที่ มี Trend หรือแนวโน้ม

    ประเภทของเส้นค่าเฉลี่ย
    ประเภทของเส้นค่า เฉลี่ย มีด้วยกันหลายแบบ ซึ่ง ผู้ลงทุนอาจจะใช้ราคา เปิด หรือ ราคาปิด ราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด หรือ ราคาเฉลี่ย มาเป็นตัวกำหนด สำหรับ การหาค่าเฉลี่ยก็ได้ ซึ่ง ส่วนใหญ่ที่ เราใช้อยู่ทั่วไป จะนำราคาปิดของหุ้นในแต่แท่งเทียน มาเป็นข้อมูลสำหรับการคำนวนค่าเฉลี่ย ดังเช่น

    การหาเส้นค่าเฉลี่ย แบบธรรมดา (SMA, Simple Moving Average)
    เส้นค่าเฉลี่ยแบบธรรมดา มาจากการหาค่าเฉลี่ยราคาหุ้น ในช่วงเวลาที่กำหนด เป็น N วัน
    SMA คำนวณมาจาก
    SMAt = 1/N(Pt+..........+Pt-N+1)
    โดย P = ราคา
           T = วัน t
           N = จำนวนวันในค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่


    ส่วนการหาเส้นค่าเฉลี่ย แบบ EMA (Exponential Moving Average)
    นั้น เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการหาค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก โดยการให้ความสำคัญกับค่าตัวหนึ่งที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา และถ่วงน้ำหนักให้ค่าสุดท้ายมีความสำคัญเพิ่มขึ้น

    ซึ่งวิธีนี้เป็น การพยายามแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นจากวิธี SMA กล่าวคือ EMA นั้น จะถ่วงน้ำหนักโดยให้ความสำคัญกับวันสุดท้ายมากที่สุด และจะเอาค่าทุก ๆ ค่ามาหาค่าเฉลี่ย โดยจะไม่ทิ้งข้อมูลเก่าที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ค่าทุกค่าสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของราคา

    หลักการคำนวนคือ
    ขณะ ที่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ตัวอื่น ๆ ให้ความสำคัญต่อคาบเวลา แต่ EMA จะให้ความสำคัญกับค่าตัวหนึ่งที่เรียกว่า SMOOTHING FACTOR (SF) หรือ SMOOTHING CONSTANT  โดยที่ SF = 2/(n+1) ซึ่งวิธีการสร้าง EMA มีสูตรการคำนวณคือ

    EMA   =   EMAt-1 + SF(Pt - EMAt-1)
    เมื่อ EMAt  คือ  ค่าของ Exponential Moving Average ณ เวลาปัจจุบัน
    EMAt-1   คือ  ค่าของ Exponential Moving Average ณ คาบเวลาก่อนหน้า
    SF  คือ  ค่าของ Smoothing Factor = 2/(n+1)
    Pt  คือ  ราคาปัจจุบัน
    n คือ  จำนวนวัน

    *  หมายเหตุ : การคำนวณค่าเฉลี่ยของวันแรก จะใช้ราคาในวันแรกนั้นเป็น EMA

    ซึ่ง ทั้ง EMA และ SMA นักลงทุนในตลาดส่วนใหญ่ต่างก็จะเลือกใช้แบบใด แบบหนึ่ง จากทั้งสองแบบนี้ เพียงแต่ อาจจะขึ้นอยู่กับวิธีการวิเคราะห์
    • โดยการวิเคราะห์ แบบ SMA นั้นจะเห็นได้การเคลื่อนที่ของเส้นค่าเฉลี่ย มักจะช้ากว่า EMA ซึ่งการหาสัญญาณ ซื้อขายจากการตัดของเส้น EMA จะแม่นยำกว่า
    • ส่วนการวิเคราะห์แนวรับแนวต้านจากเส้นค่าเฉลี่ยนั้น SMA จะดีกว่า เนื่องจากเป็นการคำนวน ฐานต้นทุนของนักลงทุนที่แท้จริง จึงทำให้บ่อยครั้ง เป็นแนวรับแนวต้านที่สำคัญ
    • ส่วนหุ้นบางตัวนั้น อาจจะวิเคราะห์ด้วย EMA ดีกว่า SMA หรือ SMA ดีกว่า EMA นั้นขึ้นอยู่กับ ผู้เล่นหุ้นส่วนใหญ่ของตัวนั้น จะใช้ เส้นอะไร ดู เพราะจากมุมมองที่เหมือนกัน จึง ทำให้เกิดสัญญาณ ที่เหมือนกัน จนเป็น ความแม่นยำที่เกิดขึ้นก็เป็นได้
       

    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/moving-average-602/?/

    ความผิดพลาดที่สำคัญ 9 ประการของนักลงทุน

  • on


  • 1. ลงทุนด้วยจำนวนเงินที่มากเกินกว่าที่คุณจะสูญเสียได้
    หนึ่ง ในอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ของการลงทุนให้ประสบความสำเร็จคือการลงทุนด้วยเงินก้อน ใหญ่ที่คุณไม่สามารถจะเสียไปได้  เช่น จำนวนเงินที่คุณจะต้องใช้ผ่อนค่างวด หรือค่าเทอมลูก ในกรณีเช่นนี้ เราเรียกว่า การลงทุนด้วยเงินร้อน (Trading with scared money) และในท้ายที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เมื่อในส่วนลึกของจิตใจ นักลงทุนเหล่านั้นรู้ว่าพวกเขากำลังเสี่ยงด้วยเงินที่เปรียบเสมือนเงินที่ ยืมมา พวกเขาจะลงทุนด้วยอารมณ์และความกลัว โดยปราศจากเหตุผล ถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เราแนะนำให้คุณหยุดการลงทุน จนกระทั่งคุณสามารถลงทุนด้วยจำนวนเงินที่คุณสามารถจะเสียได้โดยไม่ก่อให้ เกิดความเดือดร้อนทางการเงิน คุณอาจจะเริ่มต้นด้วยจำนวนก้อนที่ไม่ใหญ่จนเกินไป เช่น 50,000 บาท และลงทุนในหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า 10 บาท

    2. ความต้องการความแน่นอน
    เรา ทุกคนต้องมั่นใจว่าการลงทุนจะคุ้มค่า ดังนั้นเราจึงควรมองหาสัญญาณที่จะยืนยันจุดที่ควรเข้าลงทุน สัญญาณที่กล่าวถึงนี้มีหลายรูปแบบ เช่น การเปิดช่องยูบีซี หรือ อ่านหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับตลาดทุน เพื่อทราบถึงข่าวสารว่าหลักทรัพย์ใดอยู่ในช่วงที่น่าลงทุน หรือหลักทรัพย์ใดที่ควรรอจังหวะเข้าซื้อเมื่อแน่ใจว่าราคาจะพุ่งสูง ขึ้น  นักลงทุนบางคนอาจรับฟังข่าวสารจากเพื่อน ครอบครัว หรือเจ้าหน้าที่การตลาด (โบรกเกอร์) บางคนอาจรอจังหวะที่ดัชนีชี้นำทางเทคนิคทั้งหลายแสดงสัญญาณที่ดีจึงเข้าซื้อ สิ่งเหล่านี้สามารถเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง แต่ข้อผิดพลาดที่สำคัญและควรระวังมาก ก็คือ การใช้เวลามากเกินไปจนคุณปล่อยให้ราคาสูงขึ้นโดยที่คุณยังไม่ได้ซื้อ สิ่งที่ตามมาก็คือ ความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเมื่อราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนที่จะเข้าซื้อหุ้นนั้นมีน้อยลง ทำให้แรงซื้อน้อยลง ส่งผลให้ราคาปรับตัวลงจนกว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาใหม่ ซึ่งก็เปรียบได้กับเกมเก้าอี้ดนตรี คนที่ช้าที่สุดก็จะไม่มีเก้าอี้เหลือให้นั่ง นักลงทุนที่รอแล้วรออีกเพื่อให้มั่นใจมากๆ จริงๆแล้วก็คือคนที่จะซื้อที่จุดสูงสุดก่อนที่ราคาหุ้นจะตกลง แล้วก็จะโทษว่าเป็นเพราะเลือกหุ้นผิดตัว ความจริงคือข้อผิดพลาดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเลือกหุ้น แต่เกี่ยวกับจังหวะของการลงทุน
    สิ่งที่ควรจำใส่ใจคือไม่มีความแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์ ในการลงทุนครั้งใดๆก็ตาม สิ่งที่จะทำได้ก็คือศึกษาถึงความเสี่ยงประกอบกับความเชื่อมั่น

    3. ใช้กำไรก่อนที่จะทำกำไรได้
    ไม่ มีอะไรที่น่าตื่นเต้นไปกว่าการลงทุนที่ให้กำไรที่งดงาม แต่สิ่งนี้ก็เป็นปัญหาได้เช่นกัน เพราะมันให้คุณฝันหวานถึงกำไรก้อนใหญ่ คุณอาจจะบอกว่า “ว้าว! เงินลงทุนฉันเพิ่มขึ้น 15% ใน 2 วัน แล้วจะเพิ่มเป็น 50 % ใน 2 สัปดาห์และ อาจจะกลายเป็นเท่าตัวในพริบตา!”  สิ่งต่อไปที่จะเกิดขึ้นคือ คุณอาจคิดถึงรถใหม่คันหรูที่คุณคิดจะซื้อ หรืออาจจะบอกเจ้านายคุณว่าเขาก็ทำแบบเดียวกันได้ ถึงตอนนี้คุณคงนึกภาพออก ปัญหาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นเมื่อคุณยึดติดกับความใฝ่ฝันนั้น และไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะถอยออกมาเมื่อตลาดเข้าสู่ภาวะที่ไม่ดี และทำให้กำไรลดลง เพราะคุณถึงแต่ผลกำไรที่จะได้รับโดยไม่ยอมรับสถานการณ์จริง วิธีแก้ไขง่ายๆก็คือ ต้องรู้ว่าจะขายทำกำไรเมื่อไหร่และอย่างไร เมื่อลงทุน  และต้องจำไว้ว่าตลาดจะขึ้นสูงเท่าที่มันจะขึ้นได้  ไม่ใช่ว่าจะ ขึ้นสูงเท่าที่คุณคิดว่ามันจะขึ้นได้

    4. การแสดงความคิดเห็น
    เรา กำลังจะบอกคุณว่าตลาดไม่สนใจคุณหรอกว่าคุณจะคิดอย่างไร ถึงแม้ว่าคุณจะอ้างอิงถึงบทวิเคราะห์ที่เกิดจากความอุตสาหะ หรืออ้างอิงถึง ผู้เชี่ยวชาญตลาดหุ้นไทย  นั่นไม่สำคัญหรอก

    5. คำ 3 คำที่จะฆ่าคุณได้ หวัง-ขอ-อธิษฐาน
    ถ้า คุณพบว่าคุณทำ 1 อย่าง หรือมากกว่า ของคำที่กล่าวไว้ เมื่อคุณลงทุน คุณกำลังลำบากแล้วล่ะ! ดังเช่นที่กล่าวมาแล้ว ตลาดไม่สนใจคุณหรอก ดังนั้น ความหวัง คำขอ หรือคำอธิษฐาน ทั้งหลายไม่สามารถเปลี่ยนขาดทุนเป็นกำไร
    เมื่อคุณคาดการณ์ผิด วิธีการง่ายๆที่จะแก้ไขสถานกาณ์ คือ ขาย!!

    6. ไม่ทำตามแผนที่วางไว้
    ปัญหา ใหญ่เกิดขึ้นได้เมื่อนักลงทุนเริ่มไม่ทำตามกลยุทธ์ที่วางไว้  อาจจะเป็นเวลา ซัก 1 อาทิตย์ที่พวกเค้าจะลงทุนตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ แต่อีก1 อาทิตย์จะทำสิ่งที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง  การทำเช่นนี้ทำให้เจ็บตัวได้ง่าย เนื่องจากไม่มีใครสามารถบอกได้แน่ชัดว่ากลยุทธ์ใด จะได้ผลหรือไม่ ดังนั้นต้องจำไว้ว่าไม่ควรทำสิ่งที่ผิดไปจากแผนหรือวิธีการเมื่อคุณได้เริ่ม ต้นไปแล้ว  หากคุณพบว่ากลยุทธ์นั้นใช้ได้ผลเมื่อดูจากสถิติ ก็ไม่มีเหตุผลที่คุณจะเปลี่ยนกลยุทธ์  ทางที่จะทำกำไรคือ ซื้อขายซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งถึงจุดที่กลยุทธ์นั้นจะใช้ไม่ได้ผล อีกด้านที่ต้องระวังก็คือ นักลงทุนมักจะขาดความมั่นคงและมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแผนการลงทุนได้มากหลังจาก ขาดทุน 2-3 ครั้ง  ดังนั้น ในช่วงเวลาเช่นนี้ต้องระวังเป็นพิเศษ

    7. ไม่รู้ว่าจะถอนตัวจากการลงทุนที่ขาดทุนได้อย่างไร
    มี หลายครั้งที่นักลงทุนไม่มีเกณฑ์ที่แน่นอนในการนำตัวเองออกจากการลงทุนที่ไม่ คุ้มค่า  พวกเขามักจะคาดหวัง และคิดหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองในการที่จะไม่ถอนตัวและยอมขาดทุน ดังเช่นที่เราบอกซ้ำแล้วซ่ำเล่า ตลาดไม่สนใจว่าคุณจะคิดอะไร  มันเคลื่อนไปตามทางของมัน และเมื่อตลาดไม่เป็นไปตามที่คุณคิด นั่นคือคุณคิดผิด วิธีง่ายที่สุดที่จะทำให้สถานะการลงทุนไม่แย่ลงกว่าเดิม ก็คือต้องคิดก่อนที่จะลงทุนว่า เมื่อไรจะออกจากตลาด โดยอาจกำหนดเป็นจำนวนเงิน หรือ กำหนดจุดเป้าหมาย เช่น จุดที่เท่ากับจุดต่ำสุดในช่วงเวลา 15 นาทีก่อน ต้องมั่นใจว่าคุณจะไม่ปล่อยให้ราคาตกลงจนถึงจุดหยุดขาดทุนโดยที่ไม่สามารถทำ อะไรได้ ซึ่งอาจเนื่องมาจากความกลัวและความไม่เชื่อว่าคุณคิดผิด นั่นจะทำให้คุณเกิดปัญหาด้านการเงิน เว้นแต่ว่าคุณจะสามารถหยุดขาดทุนได้โดยเร็ว

    8. มีความมั่นใจ
    คน ที่เข้าลงทุนในตลาดนั่นมีหลายคนที่เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงใน ธุรกิจด้านอื่นๆ เหตุนี้เองทำให้พวกเขามีความมั่นใจสูงและคิดว่าพวกเขาไม่มีทางที่จะล้ม เหลว  ความมั่นใจเช่นนี้กลายเป็นข้อเสียสำหรับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะพวกเขาไม่เชื่อว่าลงทุนผิดพลาดและควรต้องหยุดการลงทุนที่ขาดทุน และเช่นกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร มาจากไหน นั่นไม่เกี่ยวข้องกับตลาด รวมถึงปริญญา ประกาศนียบัตร ความสามารถในการจูงใจ หรือ ความรอบรู้เชิงธุรกิจ ไม่สามารถเปลี่ยนแนวโน้มตลาด เวลาที่คุณคาดการณ์ผิด

    9. หลงใหลในหุ้นหรือการลงทุน
    ห้ามหลงใหลในหุ้นเด็ดขาด เพราะนั่นจะให้บทเรียนที่สาหัสแก่คุณ

    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/9-603/?/

    บทสรุปสำหรับนักเก็งกำไร

  • on
  • หลายคนอาจจะสับสนว่าจริงแล้ว การเล่นหุ้นเป็นการพนันหรือเปล่า เพราะมันสามารถทำกำไรหรือขาดทุนมหาศาล ได้ในพริบตา โดยเมื่อทุกคนได้สัมผัสการเล่นหุ้นแล้ว ก็จะรู้ว่าความโลภมักจะตามมาครอบงำเสมอ ซึ่งสิ่งนี้เองทำให้ นักลงทุน ขาดสติและจะแปลงร่างเป็นนักพนันทันที นั่นก็คือ "เสียแล้วอยากเอาคืน ได้แล้วอยากได้อีก" ดังนั้นหากคุณจะเป็นผู้นึงที่อยู่รอดในเกมส์(ตลาดหุ้น) นี้คุณ จะต้องเรียนรู้ถืงความแตกต่างระหว่างนักเก็งกำไร(นักลงทุน)และนักพนัน



    ความแตกต่างระหว่าง นักเก็งกำไร(นักลงทุน)และนักพนัน
    “นัก เก็งกำไรต้องสามารถบริหารความเสี่ยงได้ดี รู้จัก Upside Gain and Downside Risk หรือเลือกลงทุน แบบ Low Risk and High Return ได้”

    “ต้องรู้ว่าเมื่อใดควร Cut Loss และเมื่อใด ควร Let Profit Run”
    “โดยสรุปแล้วควรมีการวางแผน เฝ้าสังเกตการณ์ และการป้องกันความเสียหายด้วยการป้องกันต้นทุน เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง”

    ส่วน นักเก็งกำไรระดับโลก อย่าง Jesse Livermore ก็มีการพูดถึงปรัญญาการเป็นนักลงทุน ที่ดีเลยทีเดียว ครับ เพราะเขาพูดถึงว่าหากคุณจะเป็น นักเก็งกำไรที่ประสบความสำเร็จ จะเป็นคนช่างสังเกต มีความจำและมีหัวทางคณิตศาสตร์ที่ดี นอกจากนี้ จะต้องไม่เสี่ยงโดยไร้เหตุผล หรือในสิ่งที่คาดหวังไม่ได้ โดยหากสิ่งที่คาดหวังไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย เขาก็จะจดจำ และประเมินออกมาให้เป็นความน่าจะเป็น  ถึงจะยอมเลือกเสี่ยงเมื่อประเมิณความ เสี่ยงได้

    Wisdom of Jesse Livermore
    “ Observation, experience, memory and mathematics. These are what the successful trader must depend on. He must not only observe accurately but remember at all times what he has observed. He cannot bet on the unreasonable or on the unexpected, however strong his personal convictions may be about man's unreasonableness or however certain he may feel that the unexpected happens very frequently. He must bet always on probabilities. That is, try to anticipate them. Years of practice at the game, of constant study, of always remembering, enable the trader to act on the instant when the unexpected happens as well as when the expected comes to pass. “

    ดังนั้นหากจะลบจุดอ่อนต่างๆ คุณอาจจะต้องคิดพิจารณาว่าอะไร คือสิ่งที่ไม่ควรทำในการลงทุน
    1. ลงทุนเกินตัว เช่น การเล่น Net settlement การกู้เงินมาเล่น หรือเงินที่ต้องใช้จ่ายในระยะสั้น เพราะจะทำให้คุณเกิดความกลัว และทำให้ตัดสินใจผิดพลาด
    2. รอความแน่นอน การรอข่าวสารหรือสิ่งยืนยันที่ชัดเจน เช่นข่าวจาก นสพ.หรือรอให้ทุกคนเห็นด้วย บางครั้งก็ช้าไปเสียแล้ว
    3. ยึดติดกับความฝันหรือตัวเลขของกำไร ทำให้คุณไม่กล้าที่จะขายหากหุ้นเปลี่ยนทิศทาง
    4. คิดวาดฝันหรือจิตนาการขึ้นเอง
    5. ไม่ทำตามแผนที่วางไว้
    6. ไม่รู้ว่าจะหยุดขาดทุนเมื่อไหร่
    7. มีความมั่นใจเกินไป
    8. หลงไหลในหุ้น

    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t605/?/

    ทำไมนักลงทุนถึงจำเป็นต้องเรียนรู้ การวิเคราะห์ทางเทคนิค

  • on Friday, April 24, 2015
  • Why do people have to learn Technical chart. ทำไมนักลงทุนถึงจำเป็นต้องเรียนรู้ การวิเคราะห์ทางเทคนิคหากคุณเชื่อว่า


    - หากคุณเชื่อในกฎของอุปสงค์อุปทาน   Demand and Supply
    - หากคุณเชื่อว่าคนเราส่วนใหญ่มักซื้อด้วยอารมณ์เพราะความต้องการซื้อ มากกว่าการซื้อด้วยเหตุผลเพราะราคาถูก
    - หากคุณเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่าง จะมีวงจรชีวิตหรือวัฏจักร
    - หากคุณเชื่อว่าในตลาดมักมีคนรู้ข้อมูลภายในก่อนคนอื่นเสมอ
    - หากคุณต้องการเพิ่มมุมมอง สำหรับการตัดสินใจในการลงทุน
    - หากคุณไม่รู้ว่า P/E และ P/B เท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าถูก หรือแพง เพราะในอดีตจะเห็นว่า ค่า Price to Earning ของหุ้นแต่ละตัว ตลาดหุ้นแต่ละตลาด ยังมิได้อยู่นิ่งอยู่กับที่ หรือมึค่าเท่ากันทุกตลาดเลย

    ซึ่ง สรุปได้ว่า ณ ช่วงเวลาต่างกันในหุ้นตัวเดียวกัน มูลค่ายังมิเท่ากัน เหตุเพราะความต้องการไม่เท่ากันต่างหากที่ทำให้ราคาเปลี่ยนแปลง ดังนั้นหากเรากำหนดสิ่งต่างๆ ว่าถูกหรือแพง โดยการใช้ค่า Price to earning หรือ Price to Book value เพียงอย่างเดียวนั้นคงจะไม่ถูกต้อง มิเช่นนั้นแล้วอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา อัตราเงินเฟ้อ หรือราคาน้ำมัน คงจะคงที่เหมือนกันหมด

    คนซื้อหุ้นเพราะเกิดจาก อารมณ์ และความคาดหวังว่า หุ้นตัวนั้นดี ราคาไม่แพง หรือน่าที่จะทำกำไรได้ เพราะฉะนั้น การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นการบอกถึงอารมณ์ของคนที่ ซื้อขายหุ้นตัวนั้นเป็นเช่นไร และมีแนวโน้มไปในทิศทางใด เหตุเพราะ

    - ราคาหุ้นเป็นผลรวมที่สะท้อน ถึงการทราบข่าวสารต่างๆไว้หมดแล้ว
    - ราคาเคลื่อนที่อย่างมีแนวโน้ม
    - พฤติกรรมในอดีต หรือประวัติศาสตร์มักจะเกิดซ้ำรอย

    ประโยชน์ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค
    - ไม่จำเป็นต้องติดตามข่าว เพราะทุกสิ่งทุกอย่างจะสะท้อนออกมาทางราคาหรือกราฟอยู่แล้ว
    - สามารถหยุดขาดทุนหรือเลือกที่จะขายทำกำไรได้ จากกราฟ
    - มีความยืดหยุ่นในการใช้สูง
    - ย่นระยะเวลาในการศึกษาในหุ้นแต่ละตัว และทำให้วิเคราะห์หลักทรัพย์ที่จะลงทุนได้มากขึ้น
    - สามารถมองเห็นพฤติกรรมของหุ้น ที่จะขึ้นลงได้ก่อนที่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานจะค้นหาสาเหตุที่แท้จริงพบ
    - สามารถ เก็งกำไร และเลือกลงทุนในระยะสั้น หรือระยะยาวได้

    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t609/?/

    กฎ 10 ข้อในการอยู่รอดและการลงทุนด้วย การวิเคราะห์ทางเทคนิค

  • on
  • กฎ ทั้ง10 ข้อนี้ เป็นหลักการสำคัญสำหรับผู้ที่ใช้วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการลงทุน เพราะหากไม่มีหลักการดังกล่าวแล้ว เราก็จะไม่สามารถกำหนดการซื้อขายที่เป็นรูปแบบได้ ซึ่งในกฎเหล่านี้จะพูดถึงการวิเคราะห์แนวโน้ม , หาจุดกลับตัว, ติดตามค่าเฉลี่ย, มองหาสัญญาณเตือน และอื่นๆ หากท่านสามารถเข้าใจและ ปฎิบัติตามหลักการเหล่านี้ได้ผมเชื่อว่าท่าน ก็สามารถเอาตัวรอด ด้วยการลงทุนโดยใช้หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้ครับ


    1. ดูแนวโน้ม
    เรียน รู้ชาร์ตในระยะยาว โดยเริ่มการวิเคราะห์ชาร์ตในระดับเดือนและสัปดาห์ ของช่วงเวลาหลายๆปี การดูชาร์ตในระดับของช่วงเวลาที่กว้างขึ้นจะทำให้สามารถมองเป็นแนวโน้มของ ตลาดในระยะยาวได้ชัดเจนขึ้น เมื่อทราบถึงแนวโน้มระยะยาวแล้ว จึงจะดูชาร์ตในระดับวันและนาที การดูแนวโน้มในช่วงสั้นเพียงอย่างเดียวจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้ ถึงแม้ว่าคุณจะลงทุนในระยะสั้น คุณจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหากคุณลงทุนในทิศทางเดียวกับแนวโน้มในระยะกลางและ ยาว

    2. วิเคราะห์และไปตามแนวโน้ม
    แนว โน้มของตลาดมีหลายช่วงเวลา ระยะยาว ระยะกลาง และระยะสั้น สิ่งแรกคือ คุณต้องรู้ว่าคุณจะลงทุนในระยะเวลาเท่าใด และวิเคราะห์ชาร์ตของช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยที่คุณต้องแน่ใจว่าคุณลงทุนไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มในระยะเวลานั้นๆ ซื้อเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาขึ้น และขายเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาลง หากคุณลงทุนในระยะกลาง ให้ใช้ชาร์ตในระดับวันและสัปดาห์ ถ้าคุณลงทุนระยะสั้น ให้ใช้ชาร์ตระดับวันและรายนาที อย่างไรก็ตาม ในแต่ละกรณี ให้ดูแนวโน้มของช่วงเวลาที่ยาวขึ้น และใช้ชาร์ตของช่วงเวลาที่สั้นลงในการหาจุดที่จะเข้าซื้อ-ขาย

    3. หาจุดสูงสุดและต่ำสุด
    วิเคราะห์ แนวรับและแนวต้าน จุดที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อก็คือจุดใกล้แนวรับซึ่งมักจะเป็นจุดต่ำสุดของ รอบการซื้อขายที่แล้ว จุดที่ดีที่สุดสำหรับการขายก็คือจุดที่ใกล้แนวต้าน ซึ่งมักจะเป็นจุดสูงสุดของรอบการซื้อขายที่แล้ว หากมีการเคลื่อนผ่านแนวต้าน แนวต้านนั้นจะกลายเป็นแนวรับสำหรับการปรับตัวลดลง อีกนัยหนึ่ง จุดสูงสุดเดิมกลายเป็นจุดสูงสุดใหม่ และเช่นเดียวกัน ในกรณีที่ราคาทะลุผ่านแนวรับ มักจะมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้จุดต่ำสุดเดิมกลายเป็นจุดต่ำสุดใหม่

    4. รู้ว่าจะไปไกลแค่ไหนจึงจะกลับตัว
    เทียบ อัตราส่วนการขึ้น-ลง เป็นเปอร์เซนต์ โดยทั่วไปตลาดจะมีการกลับตัวทั้งขึ้นและลงตามสัดส่วนเปอร์เซนต์ของแนวโน้ม ของช่วงก่อน คุณสามารถวัดอัตราส่วนของการปรับตัวขึ้นหรือลงของแนวโน้มปัจจุบันได้โดยใช้ อัตราส่วนชุดหนึ่งที่มีการกำหนดค่าไว้แล้ว เช่น การกลับตัวขึ้นหรือลง 50%ของแนวโน้มก่อน เป็นอัตราพื้นฐานที่ใช้กันบ่อย อัตราส่วนต่ำสุดของการวัดการดีดกลับ คือ 1/3 ของแนวโน้มก่อน และอัตราส่วนสูงสุดคือ 2/3 อัตราส่วนที่สำคัญและควรให้ความสนในก็คือ อัตราส่วน Fibonacci 36% และ 62% ดังนั้น เมื่อตลาดมีการพักในช่วงแนวโน้มขาขึ้น จะมีจุดซื้อคืนจุดแรกเมื่อตลาดปรับตัวลง 33-38% ของจุดสูงสุด

    5. ใช้เส้นแนวโน้ม
    เส้น แนวโน้มเป็นหนึ่งในเครื่องมือการวิเคราะห์ที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุด สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมีเพียงขอบเขตที่เส้นแนวโน้มแสดงและจุด 2 ตำแหน่งบนชาร์ต เส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดต่ำสุด 2 จุด ที่อยู่ใกล้กัน และเส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดสูงสุด 2 จุดใกล้กัน ราคาของหุ้นมัก จะเคลื่อนเข้าใกล้เส้นแนวโน้มก่อนที่จะเคลื่อนกลับเข้าสู่แนว โน้มของมัน หากราคาทะลุผ่านเส้นแนวโน้ม จะแสดงถึงสัญญาณของการเปลี่ยนแนวโน้ม เส้นแนวโน้มจะมีผลเมื่อราคาเคลื่อนแตะที่เส้น 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย เส้นแนวโน้มที่ลากได้ยิ่งยาว หมายถึง จำนวนครั้งมากขึ้นของการทดสอบเส้นแนวโน้ม และยิ่งทำให้เส้นแนวโน้มมีความสำคัญมากขึ้น

    6. ติดตามค่าเฉลี่ย
    หมาย ถึงการเคลื่อนไหวของเส้นค่าเฉลี่ย ซึ่งจะบอกถึงราคาเป้าหมายที่จะซื้อและขาย เส้นค่าเฉลี่ยเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าราคาอยู่ในแนวโน้มเช่นใดและช่วยยืนยัน สัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม อย่างไรก็ตาม เส้นค่าเฉลี่ยไม่ใช่เครื่องมือที่จะบอกล่วงหน้าว่าแนวโน้มกำลังจะเปลี่ยน รูปแบบของการใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่เป็นที่นิยมคือการใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้นเพื่อหาจุดซื้อ-ขาย ค่าที่นิยมใช้สำหรับค่าเฉลี่ยที่ใช้คู่กันคือ 5 วันและ10 วัน, 10 วันและ25วัน, 25 วันและ 50 วัน สัญญาณซื้อ-ขายเกิดขึ้นเมื่อเส้นที่มีค่าเฉลี่ยสั้นกว่าตัดกับเส้นที่ ยาวกว่า หรือ เมื่อราคาเคลื่อนผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน เนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยต่างๆเป็นดัชนีที่เคลื่อนไปตามแนวโน้ม การใช้เส้นค่าเฉลี่ยจึงเหมาะสำหรับตลาดที่ในช่วงที่มีแนวโน้มที่ชัดเจน

    7. รู้ถึงจุดที่ตลาดกลับตัว
    Oscillators (เครื่องมือที่มีตัวเลข ตั้งแต่ 0 ถึง 100) เป็นดัชนีที่ช่วยชี้บอกจุดที่มีการซื้อหรือขายมากเกินไป ในขณะที่เส้นค่าเฉลี่ยจะช่วยยืนยันว่าตลาดการเปลี่ยนแนวโน้ม Oscillators จะช่วยเตือนล่วงหน้าว่าตลาดเคลื่อนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งมากเกินไป และทำให้เกิดการกลับตัว Oscillators ที่เป็นที่นิยม ได้แก่ Relative Strength Index (RSI) และ Stochastics ทั้งสองตัวนี้จัดเป็นเครื่องมือที่เรียกว่า Oscillators เพราะให้ค่าที่อยู่ในช่วง 0 ถึง 100 เมื่อ RSI มีค่าเกิน 70 จะแสดงถึงการซื้อที่มีมากเกินไป (Overbought) และ ต่ำกว่า 30 แสดงถึงการขายมากเกินไป (Oversold) ค่า Overbought และ Oversold สำหรับ Stochastics คือ 80 และ 20 นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ค่า 14 วันหรือสัปดาห์สำหรับการคำนวณ Stochastics และ 9 หรือ 14 วันหรือสัปดาห์สำหรับ RSI สัญญาณกลับตัวที่เกิดใน Oscillators จะเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังจะกลับตัว เครื่องมือเหล่านี้ใช้ได้ดีเมื่อตลาดอยู่ในช่วงที่เหมาะกับการเล่นเก็งกำไร และไม่แสดงแนวโน้มที่ชัดเจน สัญญาณในระดับสัปดาห์สามารถนำมาใช้ช่วยในการขจัดสัญญาณหลอกและยืนยันสัญญาณ ในระดับวัน และใช้สัญญาณระดับวันสำหรับยืนยันสัญญาณในรายนาที

    8. มองเห็นสัญญาณเตือน
    Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นดัชนีวัด (พัฒนาโดย Gerald Appel) ที่รวมเอาระบบการตัดผ่านของเส้นค่าเฉลี่ยและการชี้จุด Overbought/Oversold ของ Oscillators ไว้ด้วยกัน สัญญาณซื้อจะเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดขึ้นเหนือเส้นที่ช้ากว่า โดยที่ทั้ง 2 เส้นอยู่ต่ำกว่าศูนย์ สัญญาณขายเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดลงต่ำกว่าเส้นที่ช้ากว่าที่เหนือ ศูนย์ สัญญาณในระดับสัปดาห์จะมีน้ำหนักและความสำคัญมากกว่าสัญญาณในระดับวัน MACD histogram ซึ่งมีลักษณะเป็นแท่ง แสดงถึงส่วนต่างระหว่าง MACD ทั้งสองเส้น สามารถส่งสัญญาณเตือนว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มได้เร็วกว่าอีกด้วย

    9. เป็นแนวโน้มหรือไม่เป็นแนวโน้ม
    Average Directional Index (ADX) เป็นดัชนีที่จะบอกว่าตลาดอยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มหรือไม่ และเป็นตัวช่วยวัดว่าแนวโน้มนั้นอยู่ในระดับใด เส้น ADX ที่ชี้ขี้นแสดงถึงแนวโน้มที่มีความชัดเจนมาก ควรใช้เส้นค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์ หากเส้น ADX ปรับตัวต่ำลง แสดงถึงตลาดที่ไม่มีแนวโน้มและเหมาะสำหรับเก็งกำไรระยะสั้น ควรใช้ Oscillators ในการวิเคราะห์ การใช้ ADX ช่วยนักลงทุนในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนและในการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสม กับสภาวะตลาด

    10. รู้จักการดูสัญญาณเพื่อยืนยันแนวโน้ม
    สัญญาณ ที่ให้การยืนยันรวมถึงปริมาณการซื้อขายและจำนวนการซื้อขายที่มีการลงทุนจาก ผู้ที่เข้ามาซื้อขายใหม่ (open interest) ทั้ง 2 ตัวนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการยืนยันแนวโน้มสำหรับตลาดล่วงหน้า ปริมาณการซื้อขายมักจะส่งสัญญาณกลับตัวก่อนที่ราคาจะกลับตัว สิ่งสำคัญคือจะต้องมั่นใจว่ามีปริมาณการซื้อขายอย่างหนาแน่นในทิศทางเดียว กับแนวโน้มปัจจุบัน ในแนวโน้มขาขึ้น ควรมีปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้นเพื่อยืนยันว่าแนวโน้มนั้นยังแข็งแรงอยู่ ส่วน open interest ที่เพิ่มขึ้นนั้นจะช่วยยืนยันว่ามีเงินไหลเข้ามาต่อเนื่องและช่วยหนุนให้แนว โน้มปัจจุบันคงอยู่ หาก open interest ลดลง ย่อมเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มนั้นใกล้สิ้นสุดลง ดังนั้นราคาที่มีแนวโน้มสูงขึ้นควรจะมีปริมาณซื้อขายและ open interest หนุนอยู่ด้วย

    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/10-610/?/