การวิเคราะห์ข่าว

  • on Friday, August 7, 2015
  • ข่าวและการวิเคราะห์ข่าว ดูข่าวไปทำไม?????

    ที่ ต้องดู เพราะ เราไม่ได้ เล่นไฮโล แทง ขึ้น แทงลง แล้วรอรับผล กรรม อะไรแบบนั้น เป็นความจำเป็นที่เราต้องเข้าใจสถานการณ์ความเป็นไป ของสกุลเงินที่เรา กำลังนำเงินไปลงทุนอยู่ สมมุติว่า ถ้าอีก 3 วัน รัฐบาลอังกฤษจะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย แล้วคุณไม่รู้เรื่อง หลับหูหลับตาไปเรื่อย มันคงสนุกน่าดู หรือ สหรัฐพึ่งถูกระเบิดนิวเคลีย (- -.) คุณก็มานั่งบนว่า เอ๊ะ ทำไม กราฟ มันดึ่งลงเหวแบบนี้ มันผิดปกติจริงๆ .-
    -ก็นั่น เพราะคุณตกข่าวละครับ

    ...ใกล้ตัวเข้ามาอีก...

    อย่าง ช่วงก่อน กรีซ กำลังขาดดุลมากๆ จนถูกลดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือของประเทศลง จาก A เป็น B ถ้าติดตามข่าว ก็จะทราบว่า กลุ่มชาติสมาชิก อียู ปั่นป่วน ขนาดไหน คนที่เค้ารู้ เค้าก็ ชอต EUR/USD ไว้ ยิ่งเทรนใหญ่ เป็นเทรนลงด้วย ก็รับทรัพย์ไปตามระเบียบ และตอนนี้ กรีซเริ่มมีมาตราการ ขึ้นภาษีสุรา และอื่นๆ ความเชื่อมั่นก็เริ่มกลับมา เราก็จะได้ระวัง ค่าเงินยูโร ไว้บ้าง รอทิศทางชัดเจน ทางเทคนิค EUR/USD ก็เป็นไซด์เวย์ ก็ระมัดระวังตัวกันตามระเบียบ (ข่าวแบบนี้ไม่มีในตารางข่าวปกติ แต่มีในทีวี เว็บไซด์)
    ติดตามข่าว Forex Factory  วิธีการดูข่าวจาก Forex Factory มีดังนี้ครับ


    ทำตามขั้นตอนเสร็จแล้ว กด Save ครับ ต่อไปดูวิธีการดูข่าวครับ


    มาดูความหมายต่างๆ ซึ่งเป็นส่วยสำคัญในการวิเคราะห์ครับ

        Actual : เป็นความจริงที่เกิดขึ้นหลังจากมีการประมาณการแล้ว
        Forecast : เป็นการประมาณการว่าจะเป็นไปในอนาคต
        Previous : เป็นเวลาก่อนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

    ยกตัวอย่างครับ

    วิเคราะห์ดู EUR ทั้ง 3 ตัวที่ผมวงกลมไว้ครับ
    ·  EUR ตัวแรก ข้างหน้าจะเป็นสีแดงเข้ม แสดงว่า มีผลต่อตลาดมากที่สุด (สีแดงเข้ม=มีผลต่อตลาดมาก, สีส้ม=มีผลต่อตลาดปานกลาง, สีเหลือง=มีผลต่อตลาดน้อย, สีขาว= ไม่มีผลต่อตลาด)
    ·  Previous เท่ากับ 45.8 (ก่อนเกิดเหตุการณ์)
    ·  Forecast เท่ากับ 48.7 (คาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้น)
    ·  Actual เท่ากับ 28.7 (เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง)
    ·  สรุปผล : ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของ Garman ZEW ลดลง จาก 45.8% เหลือเพียง 28.7% มีผลทำให้ค่าเงิน EUR อ่อนตัว
    ·  การนำไปใช้ : เนื่องจากเนื้อข่าวมีผลกระทบต่อตลาดมาก (เพราะเป็นสีแดงเข้ม) ทำให้ค่างเิงิน EUR อ่อนค่าลง กราฟที่อยู่ในตลาด Forex ของ EUR ก็จะสู้ของอีกตัวหนึ่งไม่ได้ เช่น EUR/USD ความน่าจะเป็นของกราฟจะตกลง เพราะแรง USD มากกว่า EUR นั้นเองครับ แต่ไม่ได้หมายความว่ากราฟจะเป็นแบบนี้เสมอไปนะครับ มันมีหลายอย่างที่ต้องวิเคราะห์ครับ

    หมายเหตุ : หลักการวิเคาะห์หุ้นนั้น บางครั้งต้องใช้จิตวิทยาเข้าช่วยด้วยเหมือนกันนะครับ ยกตัวอย่างข่าวด้านบน คนส่วนใหญ่จะวิเคราะห์ว่าหุ้นนั้นจะลง แต่นักเล่นหุ้นเก่งๆเค้าจะยังไม่รีบขายครับ เค้าจะรอดูว่ามีคนรีบขายเยอะแค่ไหน ถ้ามีไม่มาก พวกนี้เค้าจะรอซื้อหุ้นเพื่อที่จะดันหุ้นให้ขึ้นไปครับ ซึ่งกราฟอาจจะออมมาในรูปแบบ ลงสักแปบนึงแล้วก็ขยับตัวสูงขึ้นครับ แต่มันก็อยู่ที่หลายหตุการณ์นะครับ ต้องวิเคราะห์ให้ดี

    สำหรับท่านที่ชอบข่าวเป็นภาษาไทย  www.ryt9.com


    การวิเคราะห์ข่าวจากเว็บข่าว Forex Factory
    การอ่านข่าวใน ForexFactory.com
    Forex News: ข่าวที่มีผลต่อตลาดเงิน จะเป็นข่าวเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเงินของประเทศต่างๆ ข่าวของแต่ละประเทศ จะมีผลต่อค่าเงินของประเทศนั้น ข่าวที่มีผลต่อค่าเงินมาก ตัวอย่าง เช่น อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate), อัตราจ้างงาน (Employment Change), การประกาศตัวเลข GDP


    ถ้าข่าว เศรษฐกิจ ของประเทศ ออกมาดี เช่น การจ้างงานเพิ่มขึ้น, GDP เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้นเพิ่มขึ้น ตัวเลขออกมาดี คนแย่งกันซื้อ ค่าเงินก็จะสูงขึ้น ตามหลัก อุปสงค์/อุปทาน ถ้าข่าวออกมาเศรษฐกิจ ไม่ดี คนย่อมไม่อยาก จะถือเงินนั้นไว้ พากันเทขายออกมา ค่าเงินจึงลดลง

    เมื่อ เรารู้ว่าข่าวทำให้ค่าเงินนั้นๆ ขึ้น จะมีผลต่อราคาคู่เงินที่เราเล่น อย่างไร ตัวอย่างเช่น ถ้าข่าวออกมาแล้วค่าเงิน USD (ดอลล่าร์สหรัฐฯ) แข็งขึ้น ดอลล่าร์สูงขึ้น คู่เงินที่มี USD นำหน้า ราคาจะวิ่งขึ้นไป เช่น (USD/JPY, USD/CHF, USD/CAD) และคู่เงินที่มี USD ข้างหลัง ราคาก็จะลดลง เพราะตัวหารเพิ่มขึ้น เช่น (EUR/USD, GBP/USD, AUD/USD, NZD/USD) ถ้า USD อ่อนลง ก็กลับกัน

     ข่าวที่สำคัญๆ จะมีต่อค่าเงินมาก ณ.เวลาที่ข่าวออก ราคาของคู่เงินอาจ ขึ้น/ลง มากกว่า 100 จุด ขึ้นอยู่กับ ผลของข่าว ผู้ที่ต้องการเล่นข่าวห้ามพลาดเด็ดขาด ผู้ที่เล่นเทคนิค เล่นตามซิกแนล ควรหลีกเหลี่ยงช่วงข่าวสำคัญ จึงควรศึกษาเกี่ยวกับข่าวให้ดี ถ้าเรามีความรู้เรื่องเศรษฐกิจ การเงิน จะเป็นประโยชน์มากในการวิเคราะห์ข่าวต่างๆ

    ขอแนะนำเว็บ www.ForexFactory.com ที่นิยมใช้ในการดูข่าว จะมีปฏิทินแสดงข่าวต่างๆ สามารถดูล่วงหน้า หรือย้อนหลังได้ ถ้ามีเวลาลองเปิดไปดู ข่าวเก่าๆ แล้วลองศึกษาเทียบกราฟราคา ดูผลของข่าวก็ดีครับ


    ความหมายข่าวใน ForexFactory.com
    ระดับที่เรียกว่าสำคัญมากมีอะไรบ้าง... : ลำดับ ชื่อในปฏิทิน
    1 Non farm Payrolls
    2 Unemployment Rate
    3 Trade Balance : โดยปกติประกาศทุกวันที่ 20 ของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของ 2 เดือนก่อนหน้านี้ โดยการประกาศจะบอกให้รู้ถึงทิศทางของการส่งออกและการนำเข้า ซึ่งตัวเลข Trade Balance จะสามารถคาดคะเนตัวเลข GDP ในอนาคตได้ ตัวเลข Trade Balance จะนำค่าตัวเลข Export ลบกับ ตัวเลข Import หากผลที่ออกมามีค่าเป็น + จะหมายถึงเศรษฐกิจที่ดี และมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย

    4 GDP ( Gross Domestic Production ) : จะประกาศทุก ๆ สัปดาห์ที่ 3 หรือ 4 ของเดือน โดย GDP คือตัววัดที่กว้างที่สุดเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจ การที่ตัวเลข GDP เปลี่ยนแปลงไปจะหมายถึงความเปลี่ยนแปลงของอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งจะบ่งบอกเกี่ยวพันถึงอัตราเงินเฟ้อ การที่ตัวเลข GDP เพิ่มขึ้นจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย

    5 PCE Price Deflator ( Personal Consumption Expenditure) : ประกาศทุก ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน โดย PCE จะบอกถึงการอุปโภคบริโภคของภาคครัวเรือน โดย PCE จะบ่งบอกถึงความสามารถในการจับจ่ายของภาคครัวเรือน โดยตัวเลข PCE ที่สูงจะบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่เติบโต ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

    6 CPI ( Consumer Price index ) : ประกาศทุก ๆ วันที่ 13 ของเดือน โดย CPI จะเป็นตัววัดเกี่ยวกับระดับราคาของสินค้าและบริการที่ซื้อโดยผู้บริโภค CPI ที่เห็นประกาศกันจะมี CPI กับ Core CPI ซึ่งต่างกันตรงที่ว่า Core CPI จะไม่รวม ภาคอาหารและ ภาคพลังงานโดยปกติ CPI จะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงอัตราเงินเฟ้อ โดยตัวเลข CPI ที่สูงจะเป็นตัววัดเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง

    7 TICS ( Treasury International Capital System ) : ประกาศทุกวันที่ 5 ของการทำงานในแต่ละเดือน โดย TIC จะรวบรวมข้อมูลของ US เพื่อดูว่าการลงทุนของคน US และ คนต่างชาติเป็นอย่างไรบ้าง โดยหากข้อมูล TICS เป็นตัวเลขที่สูงจะหมายถึงเศรษฐกิจของ US ที่แข็งแกร่งซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

    8 FOMC ( Federal open Market committee meeting ) : จะประชุมเมื่อไร ไม่มีตายตัวแน่นอน แล้วแต่เค้าจะนัดกัน โดยการประชุมจะดูภาพรวมและผลของการประชุมที่สนใจกันคือเรื่องของอัตรา ดอกเบี้ย การปรับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

    9 Retail Sales : ประกาศทุกวันที่ 13 ของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของเดือนที่แล้ว โดยจะวัดจากใบเสร็จของการค้าปลีก ซึ่งโดยปกติจะมองในภาพของสินค้า ซึ่งจะไม่สนใจเรื่องของบริการ และอื่น ๆ (เช่นพวกค่าเบี้ยประกัน หรือค่าทนาย) Retail Sales ที่ไม่รวมการซื้อรถ จะเรียกว่า Core Retail Sales โดยการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขการขายจะหมายถึงราคาที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้หมายถึงความต้องการซื้อที่ลดลง การที่ตัวเลข Retail Sales มีตัวเลขที่สูงหมายถึงเศรษฐกิจที่ดีและแข็งแกร่ง ซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

    10 Univ. Of Michigan Consumer Sentiment Survey : ออกทุกวันศุกร์ที่สองของเดือน โดย Michigan Index จะเปรียบเทียบระหว่างดัชนีสองตัวคือ สิ่งที่คาดหวัง และสิ่งที่เป็นไปจริง ๆ ถ้าสิ่งที่คาดหวังไว้และสิ่งที่เป็นจริงมีค่าใกล้เคียงกัน หมายถึงเศรษฐกิจเป็นไปในแนวทางเดียวกับที่หวังไว้ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

    11 PPI ( Producer Price Index ) : ประกาศแถว ๆ วันที่ 11 ของเดือนซึ่งจะเป็นข้อมูลของเดือนก่อน PPI จะเป็นตัววัดราคาของสินค้าในมุมมองของการค้าส่ง PPI ที่ไม่รวมพวกอาหารและพลังงานจะเรียกว่า Core PPI ซึ่งจะถูกจับตามองมากกว่า เพราะจะมีผลกับอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจาก PPI จะเป็นตัวที่ออกมาก่อน CPI หาก PPI มีค่าสูงมักจะทำให้ CPI มีค่าที่สูงตามไปด้วย ดังนั้นการที่ PPI มีค่าสูงจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง
    ระดับที่เรียกว่าสำคัญ... : ลำดับ ชื่อในปฏิทิน

    12 Weekly Jobless Claims : ประกาศทุกวันพฤหัส จะเป็นข้อมูลของสัปดาห์ปัจจุบันรวมถึงวันศุกร์ที่แล้วด้วย ซึ่งจะบอกถึงการว่างงาน โดยปกติจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงได้จากข้อมูลก่อนหน้าย้อนหลังไปราว ๆ 4 สัปดาห์ แล้วมาทำเป็นกราฟ ทั่วไปแล้วหากมีความเปลี่ยนแปลงเกิน 30,000 จะเป็นสัญญาณบอกถึงการจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงไป (อาจจะดีขึ้นหรือแย่ลง) ตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้นหมายถึงคนว่างงานที่มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินอ่อนค่าลง

    13 Personal Income : ประกาศแถว ๆ วันที่ 5 ของการทำงานในแต่ละเดือน Personal Income เป็นตัววัดเกี่ยวกับรายได้ (ไม่สนว่าจะได้มาจากไหน เช่นพวก ค่าเช่า, ได้มาจากรัฐ, เงินเดือน, ดอกเบี้ย หรืออื่น ๆ) โดยตัวนี้จะเป็นตัวชี้ถึงความต้องการในการบริโภคในอนาคต (แต่ไม่เสมอไปนะ เพราะบางทีรายได้ที่มากขึ้น แต่คนอาจจะไม่จับจ่ายใช้สอยก็ได้) ตัวเลข Personal Income ที่สูงจะหมายถึงอำนาจในการซื้อและเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเศรษฐกิจน่าจะดี ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

    14 Personal spending : ประกาศแถว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า Personal Spending จะเป็นตัวเลขเกี่ยวกับรายจ่ายของบุคคล การจับจ่ายที่ลดลงจะหมายถึงรายได้ที่ลดลง ซึ่งจะทำให้กระแสเงินโดยรวมลดลง (แต่ก็เช่นเดียวกับ Personal Income บางทีการจ่ายลดลงไม่ได้หมายถึงรายได้ที่ลดลง แต่อาจจะไม่อยากจะจับจ่ายก็เป็นได้) ตัวเลขการจับจ่ายที่มากขึ้น จะเป็นสัญญาณที่บ่งว่าเศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

    15 BOE Rate Decision ( Bank Of England ) : การประกาศตัวเลขอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ US จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้น ๆ เปลี่ยนแปลงไป โดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น โดยปกติการปรับอัตราดอกเบี้ยจะคำนึงถึง 2 อย่างคือ 1.อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (อาจจะอ่อนไป หรือแข็งไป) และ2.อัตราเงินเฟ้อ และเงินฝืด (ECB ประกอบไปด้วย 25 ประเทศในยุโรป คือ Italy, France, Luxembourg, Belgium, Germany,Netherlands, Denmark, Ireland, United Kingdom, Greece, Spain, Portugal, Austria, Finland, Sweden,Czech Republic, Estonia, Cyprus, Latvia, Lithuania, Hungary, Malta, Poland, Slovakia และSlovenia)
    16 ECB Rate Decision ( Europe Central Bank )
    17 Durable Goods orders : ประกาศแถว ๆ วันที่ 26 ของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของเดือนก่อน โดยจะเป็นตัววัดปริมาณของการสั่งสินค้า การส่งสินค้า โดยจะเป็นตัววัดถึงภาคการผลิต ซึ่งหากว่าเศรษฐกิจมีปัญหาจะส่งผลให้ปริมาณการสั่งสินค้าลดลง ตัวนี้จะเป็นเหมือนตัวบอกถึง GDP และ PDE การที่ตัวเลข Durable Goods Orders มีค่าที่มากขึ้น จะบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

    18 ISM Manufacturing Index ( Institute of Supply Manager ) : ออกทุกวันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า ตัวนี้จะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงภาคการผลิต ซึ่งรวบรวมข้อมูลอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับ การสั่งซื้อสินค้าใหม่, การผลิต, การจ้างงาน, สินค้าคงคลัง, เวลาในการขนส่ง, ราคา, การส่งออก และการนำเข้า การที่ตัวเลข ISM มีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจะแสดงถึงเศรษฐกิจที่ดี และสามารถทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นได้

    19 Philadelphia Fed. Survey : ออกราว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า โดยการสำรวจนี้จะมองมุมกว้างในทิศทางของภาคการผลิต ซึ่งจะมีความสัมพันธ์ร่วมกับ ISM ที่มองเป็นลักษณะของการผลิตเป็นตัว ๆ ไป โดย Philadelphia Fed Survey จะบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของยุทธวิธีของผู้ผลิต ประกอบด้วย ชั่วโมงการทำงาน, พนักงาน และอื่น ๆ ซึ่งตัววัดตัวนี้มีความสำคัญมากในระบบเศรษฐกิจ การที่ตัวเลขเพิ่มขึ้นจะทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น

    20 ISM Non-Manufacturing Index : ออกราว ๆ วันที่สามของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน ซึ่งเป็นการสำรวจของกลุ่ม การเงิน, ประกันภัย, อสังหาริมทรัพย์, สื่อสาร และ ทั่วไป การที่ตัวเลข ISM เพิ่มขึ้นหมายถึง demand ที่เพิ่มขึ้น และทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

    21 Factory Orders : ออกราว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน Factory Order เป็นการวัดการสั่งสินค้าทั้งหมด การสั่งสินค้าที่สูงหมายถึง demand ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

    22 Industrial Production & Capacity Utilization : ออกราว ๆ กลางเดือน เป็นข้อมูลย้อนหลัง 1 เดือน ซึ่งเป็นตัววัดว่าการผลิตของอุตสาหกรรมได้ผลออกมาจริง ๆ เท่าไร การที่ตัวเลขออกมาสูงขึ้นหมายถึง demand ที่เพิ่มขึ้น มีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

    23 Non-Farm Productivity : ออกราว ๆ วันที่ 7 ของเดือนที่ 2 ของ ควอเตอร์ เป็นข้อมูลของควอเตอร์ที่แล้ว อันนี้เป็นตัววัดของผลงานของคนงานและต้นทุนในการผลิตของสินค้า ในสถาวะที่เงินเฟ้อมีความสำคัญตัวเลขนี้ สามารถที่จะทำให้ตลาดเคลื่อนไหวได้ โดยถ้าตัวเลขที่ลดลงสามารถบอกถึงอนาคตที่เปลี่ยนไป เช่นตัวเลข GDP ที่ดี แต่ถ้าตัวเลขนี้ขัดกันก็สามารถทำให้ตลาดมีผลกระทบได้ การที่ตัวเลข Non-Farm Productivity เพิ่มขึ้น หมายถึงการยืนยันในเรื่องของพื้นฐานของเศรษฐกิจที่ดี และส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

    24 Current Account Balance : ออกราว ๆ วันที่ 7 ของเดือนที่ 2 ของ ควอเตอร์ เป็นข้อมูลของควอเตอร์ที่แล้ว Current Account Balance จะบอกถึงความแตกต่างของเงินสำรอง และการลงทุน ตัวนี้เป็นตัวสำคัญในส่วนของการซื้อขายกับต่างประเทศ ถ้า Current Account Balance เป็น + จะหมายถึงเงินออมในประเทศมีสูง แต่ถ้าเป็น - จะหมายถึงการลงทุนภายในประเทศเป็นเงินจากต่างประเทศมาลงทุน ถ้า Current Account Balance เป็น + ส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

    25 Consumer Confidence ( Consumer Sentiment ) : ออกทุกวันอังคารสุดท้ายของเดือน เป็นข้อมูลเดือนปัจจุบัน เป็นการสำรวจในแต่ละครัวเรือน โดยตัวเลขตัวนี้จะมีความสัมพันธ์กับเรื่องของ การว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ และรายได้ที่แท้จริง การที่ตัวเลขมีค่าที่เพิ่มมากขึ้นหมายถึงเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ค่าเงินแข็งค่า

    26 NY Empire State Index - ( New York Empire Index ) : ออกทุกสิ้นเดือน โดยเป็นการสำรวจจากผู้ผลิต หากตัวเลขมีค่ามากขึ้น จะทำให้ค่าเงินแข็งค่า

    27 Leading Indicators : ออกราว ๆ สองสามวันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน ซึ่งจะเป็นบทสรุปของตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ ประกอบไปด้วย New Order, Jobless Claim,Money Supply, Average Workweek, Building Permits และ Stock Prices

    28 Business Inventories : ออกราว ๆ กลางเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน เป็นข้อมูลเกี่ยวกับการขายและสินค้าคงคลังจากภาคการผลิต การค้าส่ง และการค้าปลีก ตัวเลขที่สูงขึ้นของ Business Inventory หมายถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ดี ซึ่งทำให้ค่าเงินแข็งค่า

    29 IFO Business Index ( Institute of IFO in Germany ) : ประกาศในสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลเดือนก่อน ซึ่งเป็นตัวที่ดูเกี่ยวกับภาคธุรกิจของประเทศเยอรมัน ตัวเลขที่สูงหมายถึงเศรษฐกิจที่ดี จะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น

    ระดับปานกลางถึงทั่วไป โดยมากใช้เป็นตัววัดพื้นฐาน... : ลำดับ ชื่อในปฏิทิน
    30 Housing Starts
    31 Existing Home sales
    32 New Home Sales
    33 Auto and Truck sales
    34 Employee Cost Index - Labor Cost Index
    35 M2 Money Supply - Money Cost
    36 Construction Spending
    37 Treasury Budget
    38 Weekly Chain Stores - Beige Book -Red Book
    39 Whole Sales Trade
    40 NAPM ( National Association of Purchasing Management)

    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t611/?/

    5 ขั้นในการเป็นนักเทรด

  • on Tuesday, August 4, 2015
  • ขั้นเเรก - ไร้สติเเละไร้คุณสมบัติ
    นี้ เป็นขั้นเเรกของนักเทรดทุกคนเมื่อคิดที่จะเริ่มเทรด ท่านรู้ว่าการเทรดเป็นการหาเงินที่ดีเพราะท่านได้ยินใครๆก็พูดถึงเรื่องของ นักเทรดที่เป็น millionaire เหมือนกับคุณเริ่มคิดที่จะขับรถทุก อย่างดูเหมือนง่ายมันไม่น่าจะยากอะไรขนาดนั้น เหมือนกับการเทรดราคามีเเค่ขึ้นกับลง มันจะมีความลับอะไรกันมากมาย ท่านเลยคิดว่าเทรดเลยดีกว่าไม่น่าจะยาก เเต่เช่นเดียวกับการขับรถเมื่อท่านจับพวงมาลัยครั้งเเรก ท่านถึงได้รู้ว่าท่านไม่รู้อะไรเลย ท่านเปิดออเดอร์มากมาย เเละรับความเสี่ยงสูง พอท่านเปิดซื้อกราฟก็ตกพอท่านสั่งขายกราฟก็ขึ้นเป็นอยู่อย่างนี้ บางทีท่านอาจจะประสบความสำเร็จ นั้นเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด เพราะในสมองของท่านจะคิดว่าการเทรดเป็นเรื่องง่าย เเล้วท่านก็จะเพิ่มความเสี่ยงขึ้น เเละลงเงินมากขึ้นไปอีก ท่านพยายามที่จะเปลี่ยนการจากออเดร์ที่เสียด้วยการดับเบิ้ลเงินลงไปทุกครั้ง ในการเทรด บางครั้งท่านก็รอดมาได้เเต่ไม่บ่อยครั้งที่จะผ่านมาเเบบไม่เสีย ท่านยังไม่คิดว่าท่านไม่มีความสามารถในการเทรด ขั้นตอนนี้กินเวลาอาทิตย์ถึงสองอาทิตย์ ก่อนที่ท่านจะย้ายไปอีกขั้นนึง

    ขั้นสอง - มีสติเเต่ขาดคุณสมบัติ
    ขั้น ตอนสองคือท่านทราบการเทรดนั้นต้องมีการวางเเผน เเละลงมือลงเเรง จิตใต้สำนึกท่านทราบว่าท่านเป็นนักเทรดที่ขาดคุณสมบัติท่านไม่มีทักษะหรือ ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในการทำกำไรในตลาดเงิน ท่านเริ่มที่จะหาซื้อระบบการเทรดและ e-book ท่านหาหนังสืออ่านตามเว็บไซต์ทุกที่จากสหรัฐอเมริกาถึงยูเครน ช่วงนี้ท่านเริ่มต้นค้นหาอินดี้หรือระบบศักดิ์สิทธิ์ ขณะนี้ท่านจะย้ายจากระบบไประบบนึง อินดี้นึงไปอินดี้นึง ท่านจะเปลี่ยนจากวิธีนี้วันวิธีนู้นอีกวัน และสัปดาห์โดยสัปดาห์ไม่ใช่มันนานพอที่จะดูว่ามันใช่ได้หรือไม่ เวลาที่ท่านเจออินดี้ตัวใหม่ คุณจะมีความตื้นเต้น เเละคิดว่าอินดี้นี้ ละสุดยอดเเล้ว ท่านจะทดสอบระบบ อัตโนมัติใน Metatrader ท่านจะเล่นกับmoving average, Fibonacci, support และ resistant, Pivots, Fractals, DMI, ADX และอื่นๆ อีกร้อยเเปดในความหวังว่ามันจะเป็นระบบมหัศจรรย์ของท่าน ท่านจะเป็นคนเลือกบนเเละล่างพยายามหาจุดกลับตัวของกราฟและท่านจะพบตัวว่าเอง ไล่กวดเทรดที่เสีย และยังเพิ่มเงินลงไปเพราะคุณมั่นใจว่าท่านถูก ท่านจะไปอยู่ในเเชทลูมและเห็นว่าคนอื่นๆทำกำไรเเต่ทำไมไม่ใช่ท่านท่านมี ปัญหาที่ต้องการคำตอบล้านเเปด บางคำถามเมื่อตัวท่านเองย้อนกลับไปดูตัวท่านเองยังรู้สึกว่าเป็นคำถามที่งี่ เง่า แล้วท่านจะถึงจุดที่ท่านคิดว่าคนที่ออกมาบอกว่าได้กำไรทั้งหมดโกหก พวกเขาไม่น่าจะทำไรได้เพราะท่านก็ได้ศึกษาการเทรดมาเเต่ได้เเต่ขาดทุน ท่านก็รู้เท่าเท่ากับที่พวกเขารู้พวกเขาต้องโกหกเเน่เเน่. เเต่ พวกเขาอยู่ในตลาดเทรดทุกวัน และบัญชีของพวกเขาเพิ่มมากขึ้นในขณะที่ของท่านลดลงเรื่อยๆ ท่านจะกลับไปเป็นเเบบวัยรุ่นอีกครั้งนึง – นักเทรดที่มีประสบการเเละสำเร็จให้คำอธิบายบอกเหตูผลบอกวิธีเเบบฟรีๆเเต่ท ่านก็ยังดื้อรั้นคิดว่าตัวเองถูกเเละท่านรู้ดีที่สุด ท่านก็ยังดั้นด้นเทรนทั้งที่ทุกคนรอบรอบข้างบอกว่าคุณบ้าไปเเล้วเเต่ท่านคิด ว่าท่านรู้ดีกว่า เมื่อท่านจะคิดได้เเล้วจะพยายามเทรดตามคนอื่นเเต่ก็ไม่สำเร็จ.ท่านพยายาม จ่ายค่าสัญญาณจากคนอื่น.ท่านก็จะจ่ายเงินให้กูรูคอยบอกเเละสอนไม่ว่ากูรูจะ ดีหรือไม่ดียังไงท่านก็ยังไม่สำเร็จเพราะท่านยังคิดว่าท่านรู้ดีที่สุด

    ขั้น นี้อาจจะนานตราบเท่านาน - ในความเป็นจริงเเห่งโลกของความเป็นจริง เเละหลังจากที่พูดคุยกับนักเทรดคนอื่นๆ เเละจากประสบการขั้นนี้อาจจะนานเป็นปีถึงสามปี นี้เป็นขั้นที่นักเทรดถอนตัวถอดใจในการเทรด ประมาณ 60% ของนักเทรดใหม่ถอดใจใน 3 เดือนเเรก – พวกเขาถอดใจเป็นสิ่งที่ดี - ลองคิดดู - ถ้าการเทรดเป้นเรื่องง่ายทุกคนก็รวยกันหมดเเล้วอีก 20% ให้เวลาอีกหนึ่งปีแล้วความหมดหวังในการเสี่ยงจะทำให้บัญชีพวกเขาหมดไปอย่าง เเน่นอน

    สิ่งที่ท่านอาจจะแปลกใจก็คือที่เหลืออีก 20% พวกเขาผ่านได้ประมาณ 3 ปี และเขาก็จะคิดว่าพวกเขาจะปลอดภัยแต่แม้จะผ่าน 3 ปีเเต่เเค่อีกเพียง 5-10% จะทำกำไรได้สมำเสมอ ตัวเลขอันนี้ไม่ได้เกิดมาได้จากอากาศไม่ได้โมเมขึ้นมา หลังจากที่คุณผ่านสามปีได้อย่าพึ่งวางใจ.มีคนเคยเถียงเรื่องเวลาหลายคนทุก ทุกคนไม่เคยรอดเกินสามปี.ถ้าท่านคิดว่าท่านรู้ดีลองถามตามบอดร์ดูว่าใครเทรด มาห้าปีเเล้วสามารถที่จะเทรดเต็มความสามารถ 100% บางทีอาจจะมีบางคนเป็นข้อยกเว้น เเต่ที่ผ่านมาไม่เคยเจอเองสักคน ท่านจะค่อยๆ ออกมาจากขั้นนี้ ท่านลงทุนลงเเรงกับมันไปมากกว่าที่ท่านคาดคิด ท่านหมดเงินไปจากบัญชีเป็นสิบครั้งเ เละคิดจะเลิกตั้งหลายครั้งเเต่ท่านไม่เลิกเ พราะมันอยู่ในสายเลือดไปเเล้ว วันนึงในเสี้ยววินาทีท่านก็จะเข้าขั้นที่สาม

    ขั้นที่สาม – Eureka
    ช่วง สุดท้านของขั้นที่สองท่านเริ่มคิดได้ว่ามันไม่ใช่ที่ระบบที่ทำให้เกิดความ เเตกต่าง ท่านเริ่มที่จะคิดได้ว่าท่านสามารถทำเงินได้กับเเค่ simple moving average เเละไม่มีอย่างอื่น หากเเต่ว่าความคิดของท่านเ เละการจัดการเงินของท่านเป็นไปอย่างถูกต้อง ท่านเริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาในการเทรด เเละเข้าใจในตัวคาเเรกเตร์ในหนังสือทำให้เกิดความกระจ่าง การกระจ่างนี้เกิดจากสมองของท่านประติดประต่อได้ว่าไม่ว่าใคร ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าตลาดจะเป็นอย่างไรได้อย่างเเม่นยำในเวลาข้างหน้า ไม่ว่าจะสิบวินาทีหรืออีกยี่สิบนาที ท่านจะเลิกสนใจความคิดของคนอื่น ท่านเริ่มที่จะสร้างระบบของท่านเองเพียงระบบเดียว เเละมีความสุขกับระบบของท่าน เเละท่านเป็นคนกำหนดกะเกณฑ์ความเสี่ยงของตัวเอง ท่านจะเริ่มเทรดเมื่อท่านเห็นว่าท่านมีโอกาสที่จะทำกำไร เเละเมื่อเสียท่านก็ไม่โกรธตัวท่านเอง เพราะท่านรู้ว่าอยู่ในหัวของท่านว่าท่านไม่อาจคาดเดาตลาดได้เเละมันไม่ใช่ ความผิดของท่าน เมื่อท่านเทรดเเล้วเเล้วรู้ว่าเสียท่านปิดออเดอร์ เทรดอันต่อไปเเละต่อไปท่านรุ้ว่ามีเปอรเซ็นสำเร็จ เพราะท่านรู้ว่าระบบของท่านสามารถทำกำไรได้ ท่านเลิกที่จะมองเเค่การเทรดเเค่มุมมองของเทรดออเดอร์เดียว ท่านเปลี่ยนมุมมองของท่านเป็นอาทิตย์เเละคิดว่าเทรดผิดครั้งเดียวไม่ได้หมาย ความว่าระบบของท่านใช่ไม่ได้ ท่านจับไดว่าการเทรดขึ้นอยู่กับสิ่งเดียวคือความสมำเสมอเเละการมีวินัย ท่านเรียนรู้เรื่องการจัดการเงิน เเละความเสี่ยงทุกอย่างเริ่มซึมซับ ท่านมองย้อนกลับไปถึงนักเทรดที่ใหห้ความรู้กับท่าน เเต่ก่อนด้วยความยิ้มเเย้มว่าตอนนั้นท่านยังไม่พร้อมเเต่ตอนนี้พร้อมเเล้ว

    ขั้นสี่ - มีสติเเละความสามารถ
    ท่าน ทำการเทรดเมื่อระบบของท่านบอก ท่านทำใจยอมรับการเสียได้เหมือนกับท่านได้กำไรจากการเทรด ตอนนี้ท่านปล่อยให้ออเดรที่ทำกำไรทำกำไรถึงที่สุด โดยยอมรับความเสี่ยง เเละรู้ว่าระบบของท่านทำกำไรได้มากกว่าที่เสียไป.เเละเมื่อท่านอยู่ฝั่งที่ เสียท่านปิดออเดอร์โดยเจ็็บปวดเล็กน้อยใน account ของท่าน ตอนนี้ท่านถึงจุดที่ท่านเสมอตัวซะส่วนมาก ทุกทุกวันจะมีบางอาทิตย์ที่ท่านได้100 pips เเละสัปดาห์ที่เสีย100 pips เเต่ท่านก็เสมอตัวไม่ขาดทุน ตอนนี้ท่านรู้ว่าท่านเป็นคนตัดสินใจในการเทรดเเละเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ตามระบบของท่านไม่ว่าได้หรือเสีย.ท่านได้รับการยอมรับจากนักเทรดคนอื่นๆ ท่านยังต้องขัดเกลาเเละเช็คการเทรดของท่านอย่างสมำเสมอ ท่านเริ่มที่จะทำเงินได้มากกว่าเสีย ท่านจะเริ่มวันด้วยการได้กำไร 20 pips เเละก็ เสีย 35 pips เเต่ท่านไม่รู้สึกอะไร เพราะท่านรู้ว่าเสียไปเเล้วมันก็จะกลับมาหาท่านอีก ท่านเริ่มที่จะทำกำไรสัปดาร์ต่อสัปดาร์ 20 pipsสัปดาร์นี้ 50 pips สัปดาร์หน้า ขั้นนี้จะประมาณ หกเดือน

    ขั้นห้า – ไร้สติเเต่มีความสามารถ
    ขั้น นี้เหมือนเราขับรถ ทุกวันเราขึ้นรถขับออกไปปโดยสัณชาตญาณ เหมือนกับเราเทรด ท่านเทรดโดยสัญชาตญาณ เทรดเเบบ autopilot ท่านไม่ตื่นเต้นไม่ว่าจะทำได้ 200 pips หรือ 1 pip ท่านเห็นเด็กใหม่ในฟอรั่มเเล้วย้อนคิดไปถึงท่านในอดีตหลายปีมาเเล้ว นี้คือสวรรคของการเทรด – ท่านได้บรรลุโดยการเทรดเเบบไม่ใช่อารมณ์ เเละความรู้สึกมาร่วม Account ของท่านเติบโตขึ้น ท่านเป็นที่รู้จักของนักเทรดทุกคนคอยฟังความเห็นของท่าน เเต่ท่านรู้ว่าบางคนก็ไม่ทำตามเหมือนท่านสมัยก่อน การเทรดเริ่มน่าเบื่อเพราะพอท่านทำอะไรได้ดีหรือเก่งท่านก็จะเริ่มเบื่อไม่ มีอะไรมาทำให้ท่านได้รู้สึกเเข่งขัน ท่านเริ่มหายจากห้องสนทนา เเละหาเพื่อนคุยกันรู้เรื่องโดยที่ไม่ผันตามความคิดของท่าน ท่านไม่ได้เปลี่ยนเเปลงระบบ เเต่พัฒนาระบบให้ดีขึ้น ตอนนี้ท่านมีสัญชาตญาณในการเทรด ท่านสามารถเรียกตัวเองได้เต็มปากว่า “forex trader” เเต่ท่านไม่รู้สึกอะไรคิดเเค่มันก็เเค่เป็นอาชีพอาชีพหนึ่ง

    โปรด จำไว้ว่าเเค่ ห้าเปอรเซ็นของนักเทรดที่สามารถถึงจุดนี้ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความฉลาดหรือความสามารถ เเต่ขึ้นอยู่กับความสามารถที่จะเปลี่ยนความคิดของตัวเอง เเละความหัวเเข็งของท่านได้ไหม เมื่อเวลาที่ท่าได้รับความคิด เเละความรู้ใหม่ๆ ก่อนที่ท่านจะถอดใจ ลองคิดดูว่าท่านจะยอมใช่เวลาไปโรงเรียนกี่ปี ถ้าท่านรู้ว่าตอนจบมามีงานที่ทำเงินได้ล้านนึงต่อปีรออยู่

    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/5-587/?/

    โปรแกรมคำนวณ Lot การลงทุน

  • on Sunday, August 2, 2015
  • เป็นโปรแกรมคำนวณขนาดการลงทุน แบบง่าย ๆ ครับ ด้วย Excel เอาไปใช้เพื่อจำกัดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการลงทุนครับ จะได้เป็นการสร้างระเบียบวินัยไปในตัว

    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/lot-573/?/

    ความแตกต่างของ pips

  • on
  • คำถาม  : ระหว่าง 1pips และ0.5 pips ความหมายแตกต่างกันยังไงครับ  และแบบใหนที่เหมาะกับนักเทรดมือใหม่ครับ

             คำตอบ  : โบรเกอร์จะมี 4 จุด กับ 5 จุด  โดยปกติเรานับจุดหรือ pips กันเทียบกับโบรก 4 จุด แต่ที่มี 5 จุดมาเพราะว่า เหมือนเป้นหน่วยย่อยๆ ของเขาอีกทีนั่นเอง

              และจะมี 0.5 pips ได้ ก็ต้องเป็นโบรก 5 จุด สมมติว่า  1.3000  อันนี้ 4 ตำแหน่งใช่ไหมครับ ถ้า 5 ตำแหน่งก็ 1.30000  ถ้าสมมติ ขึ้น 1 จุด ก็จะเป็น 1.3001 และ 1.30010

              จะเห็นได้ว่า โบรก 4 จุดมันขึ้น แค่ครึ่งเดียวไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าจะขึ้น ครึ่งจุดก็ต้องเป็น 1.30005  นั่นเอง  ถ้าขึ้น 0.9 pips ก็จะเป็น 1.30009

             ส่วนเรื่องเหมาะหรือป่าว อันนี้ไม่มีผลอะไรครับ เลือกโบรกที่ใช่ก็พอ ส่วนมากเทรดสั้น ก็จะใช้ 5 จุดกัน แต่ก็ไม่เสมอไป

    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/pips/?/

    Trader คืออะไร

  • on Saturday, August 1, 2015
  • Trader คือ....???

    สวัสดีครับผมมีชื่อเล่นว่าบอลนะครับ ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายคนคงอยากรู้ว่าเทรดเดอร์คืออพไร
    ซึ่งหลายคนจะมีความหมายแตกต่างกันออกไป
    แต่ในภาษาทางการเงินนั้นเราจะเรียกคำว่า Trader กับบุลคลที่ซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน
    เช่น หุ้น ตารสารหนี้ สินค้าโภคภัณฑ์ เป็นต้น

    *** สินค้าโภคภัณฑ์ เป็นกลุ่มสินทรัพย์ที่ใช้เพื่อการลงทุนซึ่งสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆได้

    สินค้าโภคภัณฑ์ แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
    1. สินค้าทางการเกษตร เช่น ข้าวสาร กาแก ถั่วเหลือง เป็นต้น
    2. สินค้าประเภทโลหะ เช่น เงิน ทองคำ ทองแดง อลูมิเนียม เป็นต้น
    3. สินค้าประเภทพลังงาน เช่น น้ำมัน ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น

    ศึกษาข้อมูบเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/trader/?/

    กระบวนการวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค

  • on
  • กระบวนการวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค
    มีที่มาหรือแนวความเชื่ออยู่ 3 ประการคือ

    1. พฤติกรรมของราคาหุ้น ได้ดูดซับทุกสิ่งออกมาแล้ว
    เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ย่อมส่งผลต่ออุปสงค์ อุปทานของหุ้น
    ข้อมูลสำคัญของการวิเคราะห์จะพุ่งไปที่ปริมาณการซื้อขาย

    2. ราคาจะเคลื่อนไหนไปตามแนวโน้มเดิม จนกระทั้งแนวโน้มเดิมหมดลงจริงๆ

    3. พฤติกรรมในอดีตมักจะซ้ำรอยในตัวมันเอง "ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย"

    จะเห็นได้ว่ากระบวนการคิดต่างๆในการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้น พื้นฐานจริงๆมาจากจิตวิทยาของมนุษย์
    ดัง นั้น การวิเคราะห์การเหมือนกับการเทรดโดยจิตวิทยาของนักลงทุน ไม่ใช่เทรดโดยการอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์คนที่เทรดแล้วอ้อนวอนสิ่งสักสิทธ์ เขาเรียกกันว่า "นักพนัน"

    ศึกษาข้อมูบเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t549/?/-

    สิ่งที่ควรปฏิบัติเมื่อขาดทุน

  • on
  • สิ่งที่เราควรปฏิบัติเมื่อขาดทุน...อาจจะใช้คำว่า "ควร" อย่างเดียวก็ไม่ถูก ต้องใช้คำว่า "ต้อง!!"
    เพราะมันคือสิ่งที่ Trader ทุกคน ย้ำนะครับว่า ทุกคน!! ต้องทำ

    สิ่งที่เราต้องทำคือ Cut Loss แปลง่ายๆก็คือ หยุดขาดทุน
    เมื่อทิศทางของกราฟไม่เป็นไปตามที่เราคาด เราควรจะตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
    ไม่งั้น อาจจะหมดตูดได้...

    สิ่งที่นักลงทุนที่ไม่ประสบความสำเร็จทำก็ คือ ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผลในการ
    เมื่อเกิดการขาดทุน จะมีความรู้สึกว่า "ต้องเอาคืนมาให้ได้เลย"
    เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณคิดแบบนั้นละ ก็ล้างพอร์ตกันแทบทุกราย เอาง่ายๆคือตายเรียยบ...

    ควรตั้ง Cut Loss ไว้ไม่เกิน 30% ของทุนทั้งหมด

    เมื่อทำการ Cut Loss เสร็จก็ควรใจเย็นๆ แล้วหาจังหวะเข้าใหม่โดยไร้อารมณ์ตอนที่ขาดทุนไป

    "ชีวิคคนเรามีขึ้น ก็ต้องมีลง"



    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/t548/?/

    Forex กับกฎหมายไทย

  • on
  • Forex กับกฎหมายไทย

    Forex กับ กฎหมายไทยหลาย ท่านคงทราบดีอยู่แล้วว่า Forex ในต่างประเทศมีมานานแล้ว และถูกกฎหมาย(ของต่างประเทศ) ซึ่งตลาดตรงนี้ใหญ่มาก และถือเป็นแหล่งลงทุนของนักลงทุนที่แท้จริง (ระดับสูงกว่าการเล่นหุ้น) แต่ทำไมไม่ทราบ ประเทศไทยกลับกลายเป็นว่าการลงทุนในด้าน Forex ผิดกฎหมาย ?? ถือมีความจำเป็นยิ่งในประเทศไทย มีผู้ที่ให้บริการและที่ใช้บริการได้แบบไม่ผิดกฎหมายอยู่ ก็คือ พวกสถาบันการเงิน ธนาคารต่างๆ นั่นเอง ทำไมถึงจำกัดวงแคบ แค่นี้ ? ทั้งๆ ที่หากคุณศึกษาดูจะเห็นว่า ธนาคารต่างๆ ได้กำไรจาก Forex มากมายจริงๆ แต่ไม่อนุญาตให้บุคคลธรรมดา ทำการแลกเปลี่ยนแบบนี้ ? นายแบงก์ระดับสูงบางคน Trade Forex เพื่อธนาคารของตนเองอย่างถูกกฎหมาย แม้กระทั่งผู้ว่าการธนาคารบางคน ยังเป็นประธานชมรม Forex แห่งประเทศไทยได้เลย (อย่างถูกต้องตามกฎหมาย) แต่ใครจะรู้ว่าบุคคลเหล่านี้อาจจะมีผลประโยชน์ทางอ้อม หรือ ทางตรง เค้าได้ Trade เองด้วยหรือไม่? Forex อนุญาตให้แค่คนกลุ่มเล็กๆ ในไทยเท่านั้นที่ทำได้!
    จริงๆ แล้วทำเสียอยู่ช่วงหนึ่งเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว ได้มีพวกกลุ่มแชร์ลูกโซ่ ทำการเปิดบริษัท Forex บังหน้า แต่ว่าทางการเงินจริงๆ แล้ว ไม่ได้ Trade จริงๆ แต่หลอกให้ คนโอนเงินมาไว้กับตนเยอะๆ เอาเงินคนเสียมาจ่ายคนได้ ซึ่งโดยรวมแล้วจะมีคนได้น้อยกว่าคนเสีย ทำให้บริษัทอยู่ได้ แต่พอนานๆ เข้า คนได้มีมากกว่าหรือ อาจจะเพราะบริษัทต้องการปิดหนีเลยไม่จ่าย ตรงนี้ไม่ทราบ!แต่ที่แน่ๆ คนเดือดร้อน คือประชาชนที่ลงเงินลงทุนไปแล้ว ไม่สามารถตามเงินคืนได้

    ความเสียหายนี้เกิดเป็นวง กว้างหลายพันล้านบาท จึงทำให้รัฐต้องออกกฎหมายเพื่อระงับแชร์ลูกโซ่ประเภทนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้Forex บังหน้า ผลก็คือ ตั้งแต่นั้นมา Forex เลยถูกห้าม เพราะจะคิดว่าเป็นการหลอกลวงมาตลอด จนถึงปัจจุบัน (ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ แต่ถูกนำมาเป็นเครื่องมือของแชร์ลูกโซ่เฉยๆ) ไม่ว่ารัฐบาลไหนก็เลยห้ามมาตลอด ผมกลับคิดว่า ตอนมีแชร์ข้าวสาร ทำไมไม่ห้ามซื้อขายข้าวสารล่ะ ?? จะได้เข้าใจว่าForex ไม่ได้ผิดอะไร การไม่เปิดให้บริการทำให้ระบบการเงินของประเทศไม่มีความหลากหลายอีกด้วยซ้ำ

    ซ้ำ ร้าย นับแต่นั้นเรื่อยมา กลุ่มปราบปรามการเงินนอกระบบ จึงตั้งหน้าตั้งตาม ปิดบริษัท ในเมืองไทยมาตลอด โดยจะห้ามเด็ดขาดและหากจับได้ก็จะใช้ พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 เป็นบทลงโทษ (ดูซิครับ!ขนาดกฎหมายที่ห้าม ยังดูไม่ค่อยออกเลยว่ามันผิดที่ Forex หรือคนที่นำไปเป็นเครื่องมือ) จนปัจจุบันเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตดีขึ้น คนที่หาข้อมูลหา ธุรกิจ จะทราบดีแล้วว่า Forexเป็นเรื่องทั่วไป เป็นปกติของตลาดโลก (แต่ลองถาม ชาวบ้านทั่วๆ ไป เค้าจะเข้าใจว่าเป็นสิ่งหลอกลวงแทน) ตอนนี้ใครจะเล่นก็ได้ครับ เพราะเล่นกับผู้ให้บริการที่ถูกกฎหมาย(ของต่างประเทศ) แทนแล้ว ถ้าจะให้เปรียบเทียบ ก็คือ คุณเล่นการพนันผิดกฎหมายในไทย แต่ถ้าคุณไปเล่นลาสเวกัสมันก็ไม่ผิดอะไร แน่นอนปัจจุบันรัฐก็พยายามเต็มที่อย่างไม่ลืมหูลืมตาจับคนให้บริการ Forex หรือ คนเล่นมาลงโทษไม่ได้ ผมเลยอยากจะเตือนใจคนเล่น Forex จุดนี้ไว้

    คุณ รู้ไหม รัฐเคยออกข่าวด้วยนะครับว่า มีคนไทยเปิดบริษัทหลอกลวงให้บริการForex โดยใช้เว็บไซต์เป็นสื่อกลางชื่อว่า Northfinance แล้วคิดดูครับว่า เค้าหลับหูหลับตาทำขนาดไหน..?

    ตอนนี้ รัฐพอจะทราบแล้วครับว่าแนวโน้มต่อไปไม่ใช่บริษัทหลอกลวงในไทยแล้วครับ แต่เป็นว่าการเข้าถึงบริษัทForex ในต่างประเทศจริงๆ นั้น ทำได้ง่ายขึ้นในวันนี้เพราะมี Internet แน่นอน เค้ายังไม่ยอมแพ้ครับ เลยออกกฎมาเพิ่มเติม ดังนี้

    1. กรณีผู้ให้บริการอยู่ในประเทศไทย การทำธุรกรรมดังกล่าวโดยไม่ได้รับใบอนุญาต มีความผิดตามกฎหมายควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน
    2. กรณีผู้ให้บริการดังกล่าวอยู่ต่างประเทศ เมื่อบุคคลในประเทศต้องโอนเงินออกไปเพื่อชำระหนี้ตามธุรกรรมซื้อขายแลก เปลี่ยนเงิน จะไม่ได้รับอนุญาตให้โอนเงินออก และมีความผิดตามกฎหมายควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน

    คำว่าผู้ให้บริการ ที่เราๆ เข้าใจกันก็คือBroker นะครับ ถ้าเล่นผ่านเน็ตส่วนใหญ่ข้อ 1 ก็ตัดทิ้งไปได้เลย แต่ข้อ 2 ผมแนะให้สมาชิกทราบกันนิด เค้าอาจจะเอาผิดคุณได้ ถ้ามีหลักฐานว่าคุณเล่น Forex ที่ต่างประเทศ โดยหลักฐานที่ว่าน่าจะเป็น การโอนเงินให้กับ Broker โดยตรง เช่น การไปโอนที่ธนาคาร หรือ การตัดบัตรเครดิต หรือการโอนเงินกลับมาในประเทศจาก Broker ตัดโดยตรง

    ดูซิครับ! เค้าจะเล่นงานคุณขนาดไหน แต่วันนี้ คุณ ยังไม่ต้องกลัวนะครับถ้ายังไม่ได้ทำธุรกรรมกับการเงินกับทาง Broker โดยตรง เพราะหากเป็นแค่การใช้งานโปรแกรมจริงๆ แล้วไม่มีหลักฐานทางการเงิน ก็เหมือนกับคุณเล่นเกมส์ Poker เงินปลอมเท่านั้นเอง ไม่ผิดอะไร เป็นแค่ความบันเทิงใจของเรา

    ผมไม่ใช่พวกต่อ ด้านกฎหมายนะครับ คิดว่ากฎหมายการฟอกเงิน กฎหมายเกี่ยวกับ กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ต้องบอกว่าเห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่จริงๆ แล้ว ไม่ควรเหมารวมเอาForex เป็นเครื่องมือ และน่าจะเปิดเสรีด้านนี้ไปได้แล้ว จะได้เจริญตามต่างประเทศที่เค้ามี Forex ถูกกฎหมายกันซะที ประเทศที่ไม่มีอะไรเลย เช่น สิงค์โปร ฮ่องกง ทำตัวเป็น Broker อย่างเดียวก็รวยกว่าเราแล้ว ทำไมเราทำให้ดีได้กลับไม่ทำแถมห้ามอีก

    จากคนเคยโดยรัฐเล่นงาน

    admin สนับสนุนไม่ให้คุณถูกหลอกนะครับ ข่าวบางอย่างก็ถูกต้องและควรรับฟังอย่างยิ่ง และสนับสนุนให้คุณไม่ทำผิดกฎหมายด้วยนะครับ กฎเค้าออกอะไรมา เลี่ยงได้ก็อย่าไปฝืนกฎนะครับ แต่ถ้าไม่ผิดกฎและคิดว่าไม่ถูกหลอกก็ทำไปได้เลยครับ เดี๋ยวอนาคตรัฐคงเข้าใจ

    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/forex-547/?/-

    12 เรื่อง ที่ต้องรู้ในการเทรด

  • on
  • บทความนี้ ไม่ไใช่เคล็ดลับที่จะช่วย หรือทำให้คุณมีแรงบันดาลใจ แต่เป็น ความจริง เป็นเรื่องที่ใครก็ไม่อยากพูดถึง
    เราต้องเรียนรู้ ทั้ง 12 เรื่อง ต่อไปนี้ แล้วจะทำให้คุณ เข้าใกล้ความสำเร็จ มากขึ้น


    ทิป 12 เรื่อง ที่ต้องรู้ในการเทรด

    1. เรียนรู้พื้นฐาน

    เป็น เรื่องที่ต้องพูดถึง พูดถึงนักเทรดหน้าใหม่ มือใหม่ส่วนมากจะมองข้ามการเข้าใจพื้นฐานไป แล้วกระโดดเข้าไปสู่ สงครามอย่างเต็มรูปแบบ แน่นอน มันส่งผลร้ายแรงกับพวกเขา

    ถ้าคุณยังเป็นมือใหม่ คุณต้องเรียนรู้พื้นฐานการเทรด !


    2. คุณจะไม่รวยเร็ว แต่ประสบการณ์จะทำให้คุณรวย
    หาก คุณเข้ามาเทรดเพราะอยากจะรวยเร็ว คุณคือนักเดินทางที่ไม่มีเข็มทิศ อย่ามัวแต่ไร้เดียงสา การเทรดเป็นเรื่อง ของประสบการณ์ ยิ่งคุณมีประสบการณ์มากเท่าไหร่ คุณก็จะเทรดได้ดียิ่งขึ้น มักมีการถามบ่อย ๆ เช่น คุณทำกำไร 90 จุด ได้ยังไง ผมทำได้แค่ 70 จุด ทั้ง ๆ ที่เทรดเหมือนกัน ? มันเป็นเพราะประสบการณ์ หากเราเทรดมา 5 ปี เป็น นักเทรดที่มีประสิทธิภาพ เราย่อมจะเห็นสิ่งที่มือใหม่ไม่เห็น เพราะใช้ประสบการณ์ เส้นทางของการเป็นเทรดเดอร์ เป็นเส้นทาง ที่ยาว ดังนั้นเราต้องเตรียมตัวไว้ 1 – 3 ปี กว่าที่เราจะได้กำไรอย่างต่อเนื่อง

    จำไว้เสมอว่า Forex ก็เป็นอาชีพหนึ่ง ไม่ใช่หนทางลัดไปสู่การรวยเร็ว


    3. ผู้เชี่ยวชาญผู้หลอกลวง

    การ ฟังความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ต่าง ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ปัญหาคือ ตลาดเงิน เป็นที่ที่มือใหม่ทุกคน ชอบคิดว่า ตัวเองนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญ และ คนอื่น ๆ อีกมากมาย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีอายุตั้งแต่ 30 – 60 ปีนั้น ไม่ว่าจะเป็น ผู้ชาย หรือผู้หญิง ที่ชอบใส่สูท จะบอกว่า ตัวเองเป็นนักเทรดมืออาชีพ และขอให้คุณซื้อหนังสือของพวกเขา คนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ ล้วนแต่เป็นเทรดเดอร์ที่ล้มเหลว ซึ่งจะทำเงินจาก การสอนผู้อื่นเทรดว่า ทำไมถึงขาดทุน

    พวกที่อ้างตัวว่าเป็นมืออาชีพ มักจะเป็น ดังนี้ :
    1. ชอบให้ข้อมูลเก่า ๆ ซ้ำ ๆ แล้วก็ไม่เวิร์ค
    2. พวกเขามักจะบอกว่าพวกเขาเป็นนักเทรดมืออาชีพที่รวยและพยายามขายหนังสือให้กับคุณ
    3. พวกเขาจะบอกถึงสิ่งที่เขาทำได้ เช่น เขาทำเงิน 1 พันเหรียญ ให้กลายเป็น 1 ล้านเหรียญภายใน 1 สัปดาห์ หรืออะไรประมาณนี้
    4. พยายามพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นนักเทรดที่ได้กำไร โดยการโพสต์ภาพที่แต่งขึ้นโดย photoshop
    5. ชอบใช้คณิตศาสตร์เพื่อให้ตัวเองดูว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ มากกว่าที่เขาเป็นอยู่จริง ตัวอย่างเช่น พูดถึงแต่ออร์เดอร์ที่กำไรหลายครั้ง แต่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงออร์เดอร์ที่ขาดทุน

    ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญ หรือมืออาชีพนั้นเป็นเรื่องตลก
    ระวังอย่าไปหลงเชื่อสิ่งที่พวกเขาพูด


    4. วิเคราะห์ด้วยตัวคุณเอง

    ต่อ เนื่องจากข้อ 3 การที่เดินตาม คนอื่น จะทำให้คุณเป็น แกะตาบอด เป้าหมายของคุณ คือการเป็นนักเทรด ที่ ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ตามใคร ซักคน อย่างไม่ลืมหูลืมตา ปล่อยให้เขาจูงจมูก ไม่ว่าจะไปทางไหน ในฐานะ นักเทรด คุณจำเป็นต้องมีวิธีการ ขั้นตอนในการวิเคราะห์ตลาด และสามารถทำการวิเคราะห์ด้วยตัวเอง ซึ่งจะทำให้ คุณเข้าใกล้ ความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น

    การวิเคราะห์ด้วยตัวเอง จะทำให้ :
    1. ทำให้คุณ เป็นคนมีความมั่นใจในตัวเอง
    2. ได้เรียนรู้ในการเทรด

    ถ้า คุณตามคนที่บอกว่าเขาเป็นมืออาชีพ อย่างไม่ลืมหูลืมตา คุณก็ไม่ต่างอะไรกับตัวเลมมิ่ง คุณจะทำกำไรได้อย่างไร ถ้าวันนึงมืออาชีพเหล่านั้น ไม่ให้เคล็ดลับ หรือเคล็ดลับของเขามันใช้ไม่ได้อีกต่อไป

    คุณจะเข้าใจหรือไม่ว่า พวกเขา มาบอกคุณทำไม ?
    ทำไมตอนนี้พวกเขาไม่มาบอกคุณอีกแล้ว ?


    5. ตำนาน เดโม
    หาก คุณอยากจะเป็นนักมวยอาชีพ คุณต้องออกไปซื้อ เกมส์ต่อยมวย เอามาเล่นบนเครื่อง Play 3 แล้วก็มาฝึกมวย อ่านแล้วรู้สึกยังไงบ้าง ? มันก็เหมือนกับการเทรดเดโม แล้วคุณหวังว่า จะกลายเป็นนักเทรดมืออาชีพได้

    การเทรดเดโม 3 เดือน ไม่เหมาะด้วยเหตุผลสองประการ :
    1. เดโม ทำให้มือใหม่มั่นใจแบบผิด ๆ และทำให้พวกเขาติดนิสัยการเทรดที่ไม่ดี
    2. บัญชีเดโม เรามักจะเทรดได้ดีกว่าบัญชีเงินจริงเสมอ เพราะมีออพชั่นที่ดีกว่า เช่น ส่งออร์เดอร์ได้ไวกว่า เร็วกว่า และปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย

    วิธีแก้ คือ
    ใช้ เดโมในการเรียนรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวิธีการเทรด เมื่อคุณพร้อมที่จะเทรด คุณควรเทรดด้วยเงินจริงเท่านั้น ซึ่ง ทุกวันนี้ คุณสามารถเปิดบัญชีด้วยเงินเพียง 10 เหรียญ แล้วทำไมจึงไม่เทรดเงินจริงกัน

    ถ้าหากยังไม่มีความสามารถหาเงิน 10 เหรียญมาเทรดได้
    ก็ไม่ต้องมาเทรดเลยดีกว่า ....


    6. พยายามแก้ปัญหาการขาดทุนติดกันให้ได้

    นี่ เป็นข้อที่สาคัญที่สุดที่ควรใส่ใจในการเทรด ถ้าไม่มีกฏข้อนี้บอกได้เลยว่า คงไม่ได้เป็นเทรดเดอร์ ที่ประสบความ สาเร็จ ถ้าคุณเสียติดกัน สามครั้งติด ๆ กัน ให้อยู่ห่าง ๆ จากกราฟ หยุดไปซักพัก แล้วกลับมา พร้อมสมอง ที่ว่างเปล่า การเทรดเสียติด ๆ กัน เป็นสิ่งอันตรายมาก และสามารถนำเราไปสู่การเสียครั้งใหญ่ได้




    แค่นี้คงอธิบายได้ชัดพอ ไม่ต้องย้ำอะไรมาก


    7. การตามคนอื่น
    เคย ได้ยินไหมว่า ? นักเทรดส่วนใหญ่ของมือใหม่ 90 % ล้มเหลวกันทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม มันก็จริง ที่บอกว่า นักเทรด มือใหม่่ส่วนใหญ่ ที่เข้ามาในตลาด ต่างก็ล้มเหลว

    ความ ลับ ก็คือ การคิดต่างออกจากปากคนส่วนใหญ่ และเทรดด้วยตัวเอง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ให้คุณอยู่ห่าง ๆ จากบอร์ดต่าง ๆ แต่หมายถึง คุณควรทำาทุกอย่างด้วยตัวเอง หาความรู้ประสบการณ์ ในการที่จะเป็นอิสระ จาก การตามความคิดของผู้อื่น

    ลองคิดเรื่องพวกนี้ดู :
    1. นักเทรดส่วนใหญ่ที่เป็นมือใหม่ ล้วนแต่ล้มเหลว
    2. ถ้าเราตามคนส่วนใหญ่ เราก็จะเป็นส่วนหนึ่งของคนส่วนใหญ่
    3. ถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งของคนส่วนใหญ่ เราก็จะล้มเหลว

    การที่จะเป็นอิสระ ต้องไม่เป็นผู้ตาม


    8. ยึดมั่นในวิธีการของตัวเอง
    วิธี การเทรดไม่ว่าวิธีใดก็ตาม ย่อมมีขึ้นมีลง ไม่มีระบบเทรด วิธีการใด หรือการเทรดแบบไหน ที่จะได้กำไร 100 % ตลอดไป วิธีการ เช่น มีโอกาสกำไรเฉลี่ย เท่ากับ 80 % บางช่วงของปี ควรจะได้กาไร 60 % หรือบางทีในช่วงอื่น ๆ ของปีก็ได้กาไร 100 % ซักหนึ่งหรือสองเดือน ควรรู้ว่าแต่ละปี จะต้องเจอช่วงที่แย่ และต้องเสียมากกว่าที่เคยเสีย เราจะต้องไม่สูญสิ้นศรัทธา และยังเทรดมันต่อไป

    แต่ปัญหาของมือใหม่ คือ จะยอมแพ้ หลังจากเพียงแค่ สัปดาห์แรกเท่านั้น
    อย่าทิ้งระบบของคุณเมื่อเวลาแย่ ๆ มาถึง


    9. พยายามทำให้มันธรรมดาที่สุด นี่เป็นเรื่องง่าย และ ธรรมดา !
    การ เทรดไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก หรือซับซ้อน ตัวอย่างวิธีการเทรด ค่อนข้างธรรมดาและมีประสิทธิภาพ ใช้เวลา 2 -5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในการเทรด โดยส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตตามปกติ วิธีการเทรดไม่ต้องซับซ้อน และยากต่อการทำ ความเข้าใจ
    ทำให้มันง่าย ซึ่งจะทำให้คุณ:
    1. ใช้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    2. ไม่ต้องเฝ้ามาก
    3. ทำให้เรียนรู้ได้เร็วยิ่งขึ้น

    ถ้าคุณจำอะไรเกี่ยวกับบทความนี้ไม่ได้เลย คุณต้องจำข้อ 10


    10. เทรดเพียงคู่เดียวเท่านั้น
    กุญแจ ไปสู่ประตูแห่งการเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากมือใหม่ไปสู่มืออาชีพ คือ การทำให้การเทรดของคุณ เป็นเรื่อง ธรรมดาที่สุด วิธีหนึ่งที่ง่ายที่สุด คือ การทำให้การเทรดของคุณนั้นธรรมดาที่สุด โดยการเทรดแค่ คู่เงินเดียว ข้อนี้ธรรมดามาก แต่ว่าไม่น่าเชื่อว่า ไม่ค่อยมีใครทำมัน การเทรดแค่คู่เดียวจะช่วยเราได้ เพราะ จะทำให้คุณมีสมาธิ และพยายามเรียนรู้ เกี่ยวกับค่าเงินคู่นั้น ๆ ดังนั้น มันจะทำาให้คุณเข้าใจว่า มันเคลื่อนไหวยังไง?

    ถ้าคุณพยายามดื้อดึง เทรด 5 คู่ ในเวลาเดียวกัน การเรียนรู้ในการเทรดย่อมจะยากกว่า

    คุณจะต้องเรียนรู้ลักษณะพิเศษ ของค่าเงินแต่ละคู่ คุณจะต้อง:
    1. มีปฏิกิริยากับข่าว ที่แตกต่างตามค่าเงิน
    2. อัตราการวิ่งของแต่ละคู่ที่ บางคู่ช้า บางคู่เคลื่อนไหวเร็ว
    3. เวลาที่คู่เงินเคลื่อนไหวแตกต่างกันในช่วงวันหนึ่ง
    4. ต้องจัดการออร์เดอร์ที่เปิดอยู่ แตกต่างกันไป

    ในฐานะมือใหม่ การกระโดดเข้าเล่นหลายคู่แบบนี้ จะทำให้มีความกดดันสูง และทำให้เรียนรู้ได้ช้า

    ดังนั้น ควรเริ่มด้วยการ เทรดคู่เดียว
    เมื่อคุณได้กำไร คุณสามารถเทรดได้หลายคู่ เท่าที่คุณจะสามารถรับได้


    11. เทรดเพียงแค่ Time Frame (TF) เดียว
    การเทรด Time Frame เดียวก็เป็นการทำให้ระบบธรรมดา

    การดู Time Frame เดียวมีประโยชน์ ดังนี้ :
    1. ทำให้คุณมีสมาธิจดจ่อกับการเรียนรู้ ในแต่ละ Time Frame ดังนั้น มันจะช่วยลดความสับสน ที่มาพร้อมกับ การเรียนรู้การใช้ หลาย ๆ Time Frame
    2. ทำให้คุณต้องดูกราฟน้อย และมีสมาธิในการวิเคราะห์กราฟ Time Frame เดียวมากขึ้น ดังนั้น จะทำให้คุณ วิเคราะห์ มีประสิทธิภาพ และคุณภาพในการวิเคราะห์
    3. ช่วยลดการวิเคราะห์มากเกินไป โดยการดูหลาย Time Frame ซึ่งทำให้เกิดข้อขัดแย้ง
    4. มันทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

    จำ ไว้เสมอว่า ทั้งหมดนี้เพื่อทำให้ระบบเทรดของเราธรรมดามาก ถ้าคุณเทรด Time Frame เดียว และคู่เงินเดียว ในฐานะมือใหม่ คุณไม่ควรจะไปยึดกับกราฟหลายกราฟ

    ควรจะเทรดกราฟเดียว จนกว่า คุณจะได้กำไรอย่างต่อเนื่อง


    12. กราฟสะอาด
    มือ ใหม่ส่วนใหญ่ จะใส่ Indicator เต็มไปหมดในกราฟของพวกเขา ตอนที่เข้าเทรด Indicator ช่วยคุณในการเทรด ฉะนั้นถ้าเราใส่เยอะ หมายความว่าดีกว่า ? ผิด หรือ ถูกกันแน่!

    เมื่อเทรดเดอร์มีประสบการณ์มากขึ้น พวกเขาจะพบว่า ยิ่งน้อยก็ยิ่งดี Indicator ที่มากจะทำให้คุณสับสนมากขึ้น
    ยิ่งคุณมี Indicator มากเท่าไหร่ก็จะทำให้ :
    1. ทำให้กราฟยุ่งเหยิง ยากต่อการวิเคราะห์กราฟ
    2. ทำให้คุณ ต้องคิดมากกว่าปกติ และการตัดสินใจของคุณแย่ลง
    3. เพิ่มความขัดแย้งของสัญญาณมากขึ้น ระหว่าง Indicator

    ฟังดูไม่เวิร์คเลย ใช่ไหม ? ...
    Indicator ไม่ใช่ทั้งหมดของการเทรด จะเทรดด้วยกราฟเปล่า ๆ และอัตรากำไรต่อขาดทุนถึง 80 % ไม่ได้บอกว่า คุณต้องเอา Indicator ออกให้หมด แต่ว่า หลายคนเทรดโดยไม่ใช้ Indicator พร้อมกับแนวรับแนวต้านและ รูปแบบกราฟแท่งเทียนต่าง ๆ

    อย่างน้อยไม่ควรมีเกินสองตัวในกราฟของคุณ

    ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  http://www.thaibestforex.com/forex/12-546/?/